Spreadfirefox Affiliate Button

หลังจากที่ได้แนะนำ วิธีการปรับแต่ง Windows 98 กันไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงคิวของการปรับแต่ง Windows XP กันบ้าง ความจริงแล้ว ระบบปฏิบัติการ Windows XP นั้น มีการจัดการกับส่วนต่าง ๆ ที่ค่อนข้างจะดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็น จะต้องไปปรับแต่ง อะไรเพิ่มเติมกันอีก แต่ถ้าหาก ใครอยากจะเสริมโน่นนิด นี่หน่อย ก็ลองมาดูขั้นตอน การปรับแต่ง Windows XP กันได้เลยครับ

  • ทำการลง Driver ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีมาให้สำหรับ Windows XP โดยเฉพาะ
    สำหรับท่านที่ใช้งาน Windows XP นั้น ความจริงหลังจากที่ลง Windows ใหม่ ๆ แล้ว อุปกรณ์บางตัว อาจจะสามารถ ทำงานได้เลย โดยไม่ต้องมานั่งลง Driver ให้ยุ่งยาก แต่เพื่อให้อุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น สามารถทำงานได้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ มากขึ้น ขอแนะนำให้ทำการลง Driver ของอุปกรณ์แต่ละตัวไปอีกครั้งด้วย จะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ในการใช้งานได้มาก

  • การปรับแต่ง Performance ของระบบให้ทำงานได้เร็วขึ้น
    เป็นการตั้งค่า Virtual Memory ของระบบที่เหมาะสม โดยเริ่มจากการคลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Advanced ในช่อง Performance กดที่ปุ่ม Settings >> Advanced และด้านล่างเลือกกดที่ปุ่ม Change จะได้ตามภาพ



    ทำการเปลี่ยนค่าของ Virtual ให้เป็นแบบ Custom size และกำหนดไว้ที่ 512-512 ตามภาพแล้วกด OK จากนั้นเครื่องจะทำการ Restart ใหม่ครั้งหนึ่งก่อนครับ

  • การปรับแต่ง Startup and Recovery ของระบบวินโดวส์
    เป็นการกำหนดขั้นตอน เมื่อระบบวินโดวส์เริ่มต้นทำงาน และการกำหนดการกระทำ เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นให้เหมาะสม โดยทำการคลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Advanced ในช่อง Startup and Recovery กดที่ปุ่ม Settings จะได้ตามภาพ



    ทำการยกเลิกการเครื่องหมายถูกใต้ช่อง System failure ออกให้หมด (สำหรับเครื่องหมายถูกด้านบนใต้ช่อง system startup ให้ปล่อยไว้ตามเดิม เนื่องจากเป็นการกำหนดการเลือกบูต Windows แบบหลายระบบ หรือถ้าหากเครื่องนั้น ลงระบบ Windows ไว้แค่ตัวเดียว ไม่ได้ใช้ลูกเล่นนี้ก็เอาออกไปได้เช่นกันครับ) จากนั้นก็กด OK ครับ

  • การปรับแต่งระบบรายงานข้อผิดพลาดหรือ Error Reporting
    เป็นการกำหนดวิธีการรายงานข้อผิดพลาด ซึ่งไม่ค่อยได้ใช้งานอะไร ก็จัดการยกเลิกการทำงานส่วนนี้ซะเลย โดยทำการ คลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Advanced ที่ด้านล่าง ให้กดที่ปุ่ม Error Reporting จะได้ตามภาพ



    ทำการเลือกที่ช่อง Disable error reporting ตามภาพแล้วกด OK ครับ

  • ปิดการทำงานของ System Restore เพื่อไม่ให้เปลืองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์
    เป็นการปิดการทำงานของระบบ System Restore หรือระบบย้อนเวลากลับของ Windows เช่น ถ้าหากเรามีการติดตั้ง ซอฟต์แวร์ลงไปในเครื่อง แล้วเกิดเปลี่ยนใจหรือว่าซอฟต์แวร์ตัวนั้น ไปสร้างปัญหาให้กับระบบ เราก็สามารถย้อยเวลากลับไป ณวันที่หรือเวลาที่เราต้องการได้ แต่เนื่องจากการที่จะสามารถ ย้อนเวลากลับไปได้นั้น Windows จะต้องใช้พื้นที่บน ฮาร์ดดิสก์ ส่วนหนึ่ง ในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ด้วย ตรงนี้แหละครับที่เรียกว่า System Restore ซึ่งถ้าหาก ไม่ต้องการ ใช้งานระบบในส่วนนี้ ก็จัดการปิดการทำงานไปซะดีกว่าครับ โดยทำการ คลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก System Restore ตามภาพ



    ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ช่อง Turn off System Restore on all drive แล้วกด OK ครับ

  • การตั้งให้ปิดระบบการทำงานของ Auto Update ไปเลยดีกว่า
    เป็นการตั้งให้ระบบการอัพเดตไฟล์หรือ Patch ต่าง ๆ ผ่านทางเว็บไซต์ของ microsoft แบบอัตโนมัติไม่ทำงาน เนื่องจาก ถ้าหากมีการตั้ง Auto Update นี้ไว้ จะทำให้เมื่อเล่นอินเตอร์เน็ตแล้ว จะมีการเช็คหรือตรวจสอบอยู่บ่อย ๆ รวมถึงในบางครั้ง อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ Windows ต่อเน็ตเองด้วย ซึ่งหากเราต้องการที่จะทำการอัพเดตจริง ๆ ก็สามารถสั่งเองได้เช่นกัน โดยทำการ คลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Automatic Updates ตามภาพ



    เอาเครื่องหมายถูกหน้าช่อง Keep my computer up to date... ออกไปและกด OK ครับ

  • การปิดการทำงานของระบบ Remote Desktop
    เป็นการปิดการทำงานของการใช้งาน Remote Desktop หรือการทำ Remote จากเครืองคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ไปยังอีกเครื่องหนึ่ง โดยปกติเราจะไม่ได้มีการใช้งานส่วนนี้อยู่แล้ว ปิดไปเลยดีกว่าครับ โดยทำการ คลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Remote ตามภาพ



    เอาเครื่องหมายถูกออกไปให้หมดเหมือนภาพด้านบน และกดที่ปุ่ม OK ครับ


Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น

แบคกราวด์หรือวอลเปเปอร์ (Wallpaper) คือภาพที่เป็นพื้นของ Desktop ใน Windows นั่นเอง ซึ่งเราสามารถที่จะกำหนดสี หรือนำเอารูปภาพต่าง ๆ มาใส่ให้เป็นพื้นของ Desktop ของ Windows ได้ด้วย วิธีการก็จะมีหลากหลายรูปแบบ เช่นการตั้งให้ ภาพที่ต้องการเป็น Wallpaper จากซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่มีเมนูให้จัดการในส่วนนี้ได้ เช่น ACDSee หรือ Internet Explorer นอกจากนั้น เรายังสามารถทำการแก้ไขสีหรือรูปภาพ จากเมนูของ Control Panel ที่มีมากับ Windows ได้ด้วย มาดูตัวอย่าง ในแต่ละรูปแบบกันก่อน

การตั้งภาพ Wallpaper จาก Internet Explorer

หากใครใช้โปรแกรม Internet Explorer ในการท่องเว็บต่าง ๆ เมื่อไปพบกับรูปภาพสวย ๆ และต้องการที่จะนำเอารูปภาพนั้น มาตั้งให้เป็น Wallpaper ของหน้าจอ Windows สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการ กดปุ่มเมาส์ขวา ที่รูปภาพนั้นและเลือกที่เมนู Set as Wallpaper ตามรูปตัวอย่าง



เท่านี้ ภาพที่เลือกก็จะไปปรากฏอยู่บนหน้าจอของ Desktop แล้ว

การตั้งภาพ Wall Paper จากโปรแกรม ACDSee

โปรแกรม ACDSee เป็นโปรแกรมสำหรับใช้ดูรูปภาพต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ที่น่าใช้งานมาก ๆ ซึ่งก็จะมีเมนูของการตั้งภาพ ที่กำลังดูอยู่ขณะนั้น ให้เป็น Wallpaper ของ Desktop ได้ทันทีเหมือนกัน วิธีการก็ทำได้โดยใช้เมาส์ กดเลือกที่รูปภาพนั้นก่อน แล้วเลือกที่เมนู Tools



ใช้เมาส์กดเลือกที่ภาพที่ต้องการ และเลือกที่เมนู Tools เลือก Set Wallpaper และ Centered เพื่อทำการตั้งให้ภาพนั้นป็น Wallpaper ของหน้าจอ Desktop ตามต้องการ ซึ่งก็เป็นอีกวิธีหนึ่งครับ หากใครใช้โปรแกรม ACDSee อยู่

การตั้งภาพ Wallpaper จากหน้าของ Control Panel

ใน หน้าของ Control Panel จะมีเมนูให้สำหรับเลือกภาพที่ต้องการมาทำเป็น Wallpaper ได้ซึ่งนอกจากนี้ หากใครไม่ต้องการให้หน้าจอของ Desktop มีภาพต่าง ๆ ให้เกะกะสายตา ก็สามารถที่จะตั้งเป็น Pattern ต่าง ๆ แทนรูปภาพได้ด้วย วิธีการตั้ง ในอันดับแรกให้เรียก Control Panel ขึ้นมาก่อนโดยกดเลือกที่ Start menu >> Settings และเลือกที่ Control Panel เลือกที่เมนูของ Display ครับ



หน้าตาของเมนู Display ใน Control Panel จะเห็นเมนูของ Wallpaper ซึ่งจะมีรายชื่อของภาพต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วให้เลือก ใช้เมาส์กดเลือกที่ภาพตามต้องการได้เลย ซึ่งภาพเหล่านี้จะเก็บอยู่ใน C:\WINDOWS หรือหากต้องการกำหนดให้ใช้ภาพอื่น ๆ ของเราแทน ก็ให้กดที่เมนู Browse... เปลี่ยน Folder ไปยังตำแหน่งที่เก็บภาพไว้ และเลือกเปิดภาพที่ต้องการตั้งให้เป็น Background ตามต้องการได้ทันที

*** ภาพที่จะใช้ทำเป็น Wallpaper หรือ Background โดยวิธีนี้จะต้องแปลงให้เป็น .BMP ก่อนนะครับ พวกไฟล์รูปภาพแบบ .GIF หรือ .JPG จะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ วิธีการเปลี่ยนอาจจะใช้วิธีเปิดด้วยโปรแกรมตกแต่งภาพต่าง ๆ ก่อน เช่น Paint หรือ Photo Shop แล้วทำการ Save as โดยเลือกชนิดของไฟล์ให้เป็น .BMP แทนของเดิม ***

นอกจากนี้ ในช่อง Display จะมีให้เลือกว่าจะใช้เป็น Center (จัดให้ภาพนั้นอยู่กลางจอ), Tile (จัดให้ภาพเป็นแบบหลาย ๆ ภาพต่อ ๆ กันไปหากภาพไม่เต็มจอ) หรือ Stretch (จัดขนาดของภาพให้ย่อหรือขยายให้เต็มจอพอดี) ได้ด้วยก็ลองเลือก แบบที่คิดว่าสวยงามที่สุดตามสายตาของแต่ละคน

สำหรับใครที่ไม่ชอบให้ มีภาพต่าง ๆ ปรากฏอยู่บน Desktop ก็อาจจะไม่ใช้ภาพ Wallpaper แต่ไปเลือกใช้ Pattern แทนก็ได้ (หากมีการตั้งภาพ Background ไว้แล้วอาจจะมองไม่เห็น Pattern ได้เพราะจะโดนบังไปหมดแล้ว) ลองกดเข้าไปดูในเมนู Pattern ดูนะครับ



จะเห็นว่ามี Pattern ต่าง ๆ ให้เลือกอยู่แล้ว ก็ใช้เมาส์กดเลือก Pattern ที่ต้องการได้เลย หากท่านใดไม่พอใจรูปแบบของ Pattern ที่มีอยู่เดิม ก็สามารถทำการสร้าง Pattern เพิ่มเข้าไปใหม่ได้ด้วย โดยกดที่ Edit Pattern...



เมื่อเข้ามาที่เมนูของการ Edit Pattern ให้ตั้งชื่อของ Pattern ที่จะสร้างใหม่เช่นตัวอย่างจะตั้งชื่อเป็น newpattern จากนั้นก็ใช้เมาส์ทำการแก้ Pattern ตามต้องการจนพอใจ และกด Add เพื่อทำการเพิ่ม Pattern เท่านี้ก็จะได้รูปแบบหน้าตาของ Pattern ใหม่ ๆ ให้เลือกใช้งานแล้วครับ

คำแนะนำสำหรับการตั้งใช้งาน Wall Paper

ต้องขอเตือนกันไว้ก่อนตรงนี้เลยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่บอกกัน การที่เราตั้งใช้งาน Wall Paper ให้เป็นรูปภาพต่าง ๆ จะช่วยให้เกิดความสวยงามและน่าใช้งานของ Windows ขึ้นมามากก็จริง แต่มันจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เปลืองหน่วยความจำไปอีกค่อนข้างมากด้วย คือประมาณ 0.5-2 M. ทีเดียว ดังนั้นหากเครื่องใครมี RAM น้อย ๆ ก็ไม่ขอแนะนำให้ใช้รูปภาพ แต่จะขอแนะนำให้ใช้เป็น Pattern แทน (เช่นเครื่องที่ผมใช้งานอยู่ จะสร้าง Pattern เป็นรูปสีดำทั้งหมด และใช้เฉพาะ Pattern สีดำอันนี้ ซึ่งหน้าจอก็จะดูดำ ๆ สวยแปลกตาไปดีและยังไม่เปลือง หน่วยความจำของเครื่องอีกด้วย) อันนี้ก็พิจารณากันเอง ว่าใครจะใช้หรือชอบรูปแบบแบบไหนกัน ก็ลองเล่นกันดู หากไม่ชอบใจหรือไม่พอใจกับรูปภาพของ Wallpaper ก็สามารถจะยกเลิกโดยเข้าไปแก้ไขใหม่ได้ใน Control Panel ให้เป็น (None) ได้ตามวิธีการในตัวอย่างง่าย ๆ เองนะครับ

ที่มา Com-Th


Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

Screen Saver คือโปรแกรมสำหรับรักษาหน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อไม่มีการใช้งานนาน ๆ โดยหลักการทำงานคือ เมื่อไม่มีการกดคีย์บอร์ดหรือขยับเมาส์ นานตามระยะเวลาที่ตั้งไว้ โปรแกรม Screen Saver ก็จะเริ่มต้นทำงานโดยทำการ แสดงรูปภาพแบบต่าง ๆ เปลี่ยนไปมาเรื่อย ๆ ประโยชน์ที่เราจะได้รับคือ หน้าจอ จะมีการแสดงผลที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ไม่เกิดการทำงานที่ซ้ำ ๆ กัน ซึ่งปกติของหลอดจอภาพ ที่เมื่อมีการแสดงภาพเดิม ๆ ในตำแหน่งที่ซ้ำ ๆ กันนาน ๆ จะเกิดการเสื่อมของหลอดจอภาพ ซึ่งจะทำให้ภาพบนจอ เป็นรอยลาง ๆ ถ้าสังเกตุจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องเปิดทิ้งไว้นาน ๆ และเป็นหน้าจอเดิม ๆ จะเห็นได้ง่าย

ขอให้ทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่าโปรแกรม Screen Saver เหล่านี้จะช่วยให้จอมีการแสดงภาพเปลี่ยนไปมาเรื่อย ๆ เพื่อรักษาหน้าจอเท่านั้น ไม่ได้เป็นการพักเครื่องหรือพักการทำงานของ ซีพียู นะครับ ที่จริงแล้ว ซีพียู ยังคงจะต้องทำงาน อยู่เหมือนเดิม หรืออาจจะต้องทำงานมากกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ ดังนั้นก็พิจารณาความต้องการใช้งานก่อนด้วย

การเลือก Screen Saver จากหน้าของ Control Panel

ในหน้าของ Control Panel จะมีเมนูให้สำหรับเลือกโปรแกรมที่ต้องการมาทำเป็น Screen Saver วิธีการตั้ง ในอันดับแรก ให้เรียก Control Panel ขึ้นมาก่อนโดยกดเลือกที่ Start menu >> Settings และเลือกที่ Control Panel เลือกที่เมนูของ Display และ Screen Saver ครับ



หน้าตาของเมนูการเลือก Screen Saver โดยเราสามารถเลือก Screen Saver ตามต้องการได้ จะมีภาพตัวอย่างในแบบต่าง ๆ แสดงให้ดูด้านบนด้วย ในส่วนของเมนูอื่น ๆ ก็สามารถเลือกได้โดยหลัก ๆ มีดังนี้

Setting...
ใช้สำหรับการตั้งค่าต่าง ๆ ของโปรแกรม Screen Saver เช่นความเร็ว รูปแบบ ขนาด หรืออื่น ๆ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่โปรแกรมที่เรียกใช้งาน

Preview
ใช้สำหรับการดูตัวอย่างของ Screen Saver เมื่อทำงาน หลังจากที่กดช่อง Preview แล้ว เมื่อมีการกดคีย์บอร์ดหรือขยับเมาส์ หน้าจอก็จะกลับเข้ามาสู่เมนูปกตินี้

Wait: 5 minutes
เป็นการตั้งเวลาของ Screen Saver ว่าเมื่อไม่มีการกดคีย์บอร์ดหรือชยับเมาส์ นานเป็นเวลากี่นาที จึงจะสั่งให้ Screen Saver เริ่มต้นทำงาน เลือกได้ตามต้องการ

Password protected
เป็นช่องสำหรับให้เลือกตั้ง Password คือเมื่อ Screen Saver เริ่มต้นทำงานและมีการกดคีย์บอร์ดหรือขยับเมาส์ ก่อนที่ Windows จะกลับเข้ามาสู่การทำงานตามปกติ จะต้องใส่ Password ที่ตั้งไว้ให้ถูกต้อง จึงจะใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อไปได้

Settings...
เป็นการตั้งค่าของ Power Management ของระบบการแสดงผลและระบบการทำงานอื่น ๆ ลองกดเข้าไปดูรายละเอียดด้านใน ว่าสามารถตั้งอะไรได้บ้าง



หลัก ๆ ที่จำเป็นต้องใช้งานก็คือช่อง Turn off monitor: คือหากจอคอมพิวเตอร์ เป็นรุ่นใหม่ ๆ ที่รองรับระบบการจัดการเรื่อง Power Management ได้ เราสามารถตั้งเวลาให้เครื่องทำการดับจอภาพ ตามเวลาที่ตั้งไว้ได้ โดยการเลือกระยะเวลาที่ต้องการ ตัวอย่างการตั้งค่า เช่น ตั้งเวลาในหน้าของ Screen Saver เป็น 5 นาทีเมื่อไม่มีการทำงานหรือขยับเมาส์ และหลังจากนั้น ก็มาตั้งเวลาเป็น 20 นาที หากยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ก็จะทำการดับจอภาพไปเลย ซึ่งจะเป็นการช่วยรักษาจอภาพ ให้มีอายุการใช้งานให้นานขึ้นอีก สำหรับผู้ที่ชอบเปิดเครื่องทิ้งไว้บ่อย ๆ

นอกจากนี้ ยังจะเห็นเมนู Turn off hard disks: ด้วยซึ่งจะเป็นการตั้งเวลาให้ระบบ ทำการหยุดการทำงานของฮาร์ดดิสก์ เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ ตรงนี้อาจจะช่วยทำให้ ฮาร์ดดิสก์ ทำงานน้อยลงได้บ้างแต่จะต้องใช้เวลาแป๊บนึง เมื่อฮาร์ดดิสก์ จะต้องมีการเริ่มต้นทำงานใหม่ ถ้าหากตั้งไว้เร็วเกินไปก็อาจจะรู้สึกขัด ๆ ได้ครับ ขอแนะนำให้ตั้งไว้นาน ๆ เช่น 1 หรือ 2 ชม. หลังจากที่ตั้งค่าต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วก็กด OK ได้เลย

การติดตั้ง Screen Saver ใหม่ ๆ เพิ่มเติม

บางครั้ง หากไปพบเห็นโปรแกรม Screen Saver ใหม่ ๆ จากอินเตอร์เน็ต ก็สามารถที่จะทำการ ดาวน์โหลดมาทำการติดตั้ง ได้แบบง่าย ๆ โดยโปรแกรม Screen Saver ส่วนใหญ่จะมีชื่อนามสกุลของไฟล์เป็น .scr ให้ทำการ copy ไฟล์นั้นไปเก็บไว้ใน Folder ที่ชื่อ C:\WINDOWS\SYSTEM หลังจากนั้น เมื่อเข้ามาดูในเมนูของการเลือก Screen Saver จะเห็นรายชื่อเพิ่มเติมเข้ามาให้เลือกใช้งานได้

คำแนะนำเพิ่มเติมของผมนะครับ คือหากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน มีหน่วยความจำน้อย ๆ ก็ไม่ควรจะตั้ง โปรแกรม พวกนี้ไว้นะครับ เพราะจะเป็นการเปลืองหน่วยความจำไปอีกส่วนหนึ่ง หากต้องการรักษาหน้าจอ ให้ทำการตั้งแค่ Turn off monitor ตามระยะเวลาที่ตั้งไว้ก็พอแล้วครับ

ที่มา Com-th

Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

โหลดหนัง (Movie, Clip) มาแล้วดูไม่ได้!!! ช่วยด้วย!!!!

สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ใช้งาน Computer กันทุกวันนี้ไม่ทราบว่าใครเคยเจอปัญหานี้กันไม๊ครับ (ผมว่าบางคนถึงกับเคยตั้งกระทู้ถามใน Web Board เลยล่ะกัน) สำหรับผมเมื่อก่อนเจอบ่อยเลยครับ โหลดหนัง หรือ Clip ต่างๆ มาจาก Internet หรือ เอามาจากเพื่อนแล้วดูไม่ได้

สาเหตุสำคัญของปัญหานี้ ก็คือ ปัจจุบันนี้ในเรื่องของการเข้ารหัสแบบอัดไฟล์นั้นมีหลายมาตรฐานเหลือเกินครับ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการบีบอัดไฟล์ได้ที่ Wikipedia นะครับ (ภาษาอังกฤษนะครับ) ซึ่งการบีบอัดไฟล์เหล่านี้แหล่ะ ที่ทำให้เกิดปัญหาที่หลายๆคนเจอกันคือ เอามาแล้วเปิดด้วย Windows Media Player ไม่ได้ (ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นไหนก็ตาม) นั่นก็เพราะว่า Windows Media Player นั้นจะให้ตัวถอดรหัสมาเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น File นามสกุลแปลกๆ บาง File จึงไม่สามารถเล่นได้ (อย่างเช่น .3GP, .rm, .rmvb, .mov, .MP4, .Mpeg, .ogg, .FLV ฯลฯ เห็นไม๊ล่ะครับ เยอะจริงๆ)

ทีนี้ บางคนก็จะบอกว่า "อ้าว File ที่ผมได้มาก็เป็น File มาตรฐานของ Windows Media Player คือ .avi เหมือนกัน แล้วทำไมถึงเล่นไม่ได้ล่ะครับ"

นั่นก็เพราะว่า File เหล่านั้น ไม่ได้มีการเข้ารหัสแบบ .avi ตรงๆ ไงล่ะครับ ไฟล์เหล่านั้นมักจะมีการเข้ารหัสในรูปแบบของ DivX (หรืออย่างอื่น) เอาไว้ ซึ่งจะทำให้ Windows Media Player ไม่สามารถเล่น File นั้นได้ ดังนั้น คุณจึงต้อง Download ตัวถอดรหัส มาติดตั้งลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณก่อนไงล่ะครับ

ทีนี้ ก็เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไม๊ล่ะครับ ว่าเราจะไปหา Codec หรือตัวถอดรหัส เหล่านั้นจากที่ไหนได้บ้าง?

สำหรับผมแล้ว ผมมักจะมาหาเอาที่นี่ครับ Free Codec หรือ http://www.free-codecs.com/ ครับ ส่วนสาเหตุน่ะหรือครับ ก็ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วไงครับ ว่าฟรี ถูกแล้วครับ ตัวถอดรหัสที่เว็บนี้เค้าแจกฟรีครับ และ สามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายใดๆทั้งสิ้นครับ

แต่ที่ผมอยากจะแนะนำคือ แนะนำให้ใช้ตัวถอดรหัสที่ชื่อว่า K-Lite ครับ หรือ จะไป Download จาก Free Codec ก็ได้เลยครับ ไม่ว่ากัน ซึ่งจะมี 2 เวอร์ชั่นครับ คือเวอร์ชั่น Standard และ เวอร์ชั่น Mega ใครชอบแบบไหนก็ โหลดกันได้เลยครับ สำหรับรายละเอียดนั้น ลองไปศึกษากันดูนะครับ ไม่ยากครับ ^_^

ข้อดีของ Codec ตระกูล K-Lite ก็คือ มันได้รวบรวม ตัวถอดรหัสไว้เยอะมากๆเลยครับ คุณ Download มาชุดเดียว ก็ได้เกือบครบทุกตัวแล้วล่ะครับ และ หากคุณต้องการที่จะเล่น File ต่างๆให้ได้แน่นอน 99.99% แล้วล่ะก็ ผมขอแนะนำโปรแกรมเล่น File ที่ชื่อว่า Gom Player ครับ สำหรับข้อมูลเพิ่มตามหาได้ที่นี่ครับ "GOM Player โปรแกรมดูหนังฟังเพลง ที่ไม่ธรรมดา"


ที่มา
Wikipedia
Free-Codec
Gomplayer


Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550 2 ความคิดเห็น

โลกนี้ไม่ได้มีแต่ Microsoft และ Windows นะจะบอกให้

Subscribe here

เวลา ไม่เคยคอยใคร