Spreadfirefox Affiliate Button

ทุกวันนี้สำหรับคนที่มีความต้องการสำรอง ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเอกสาร รูปภาพ เพลง หรือวิดีโอต่างๆ หรือมีความจำเป็นต้องพกข้อมูลขนาดใหญ่ไปไหนมาไหนตลอดเวลา "ฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพา" (External Hard Drives) ถือได้ว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้งาน

การที่คุณต้องจัดการกับข้อมูลและพกพาติด ตัวไปที่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นข้อมูลที่ไม่มากนัก คุณสามารถใช้แผ่น CD หรือ DVD ได้อย่างง่ายดาย หรือว่าถ้าหากคุณต้องการความสะดวกสบายขึ้นมาอีกหน่อย ไม่มีวิธีการยุ่งยากเหมือนกับการใช้แผ่น CD หรือ DVD คุณก็สามารถใช้ประเภท USB Flash Drive ได้

แต่ถ้าหากว่าข้อมูลที่คุณจะจัดการมีขนาด เป็นหน่วย GB ขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ภาพยนตร์ ไฟล์วิดีโอ หรือไฟล์รูปถ่ายดิจิตอล ตัวเลือกที่น่าสนใจ คุณก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องใช้ฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาอย่างแน่นอน เพราะนอกจากที่จะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายแล้ว คุณยังสามารถแบ่งปันข้อมูลให้กับเพื่อนของคุณได้ง่ายอีกด้วย

ข้อดีของฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาก็คือมีความจุใกล้เคียงกับฮาร์ดไดร์ฟที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป หรือเผลอๆ ความจุของบางรุ่นยังมีเยอะกว่าอีกด้วย และมีการออกแบบให้มีรูปแบบที่ดูดีขึ้น มีขนาดเล็กลงเพื่อให้ง่ายแก่การพกพา และยังเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าเครื่องนี้ก็พกลำบากกว่าพวก USB Flash Drive ที่มีขนาดเล็กกว่าเยอะมากอีกทั้งฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพานี้เริ่มเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับหลายๆ คนอีกด้วย

ในท้องตลาดฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพา มีจำหน่ายหลายรุ่น หลายขนาด โดยการเลือกซื้อขึ้นอยู่กับความต้องการของตัวคุณเองว่าต้องการแบบไหน เรามีข้อมูลการเลือกซื้อฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพา ที่จะทำให้คุณมีสามารถตัดสินใจซื้อได้ตรงใจคุณ และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปอีกด้วย

การเลือกฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาให้ตรงใจคุณ

ปัจจัยในการเลือกซื้อฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาให้ตรงใจ ได้แก่
  1. ขนาดความจุ
    ฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพา ส่วนมากมีความจุมากกว่าฮาร์ดไดร์ฟที่ติดตั้งภายในเครื่องคอมพิวเตอร์มาก โดยความจุที่น้อยที่สุดของเครื่องนี้ประมาณ 1-2 GB เท่านั้น ในขณะที่ความจุมากสุดมีมากกว่า 1 TB เลยทีเดียว แน่นอนว่าเมื่อปริมาณความจุมากย่อมส่งผลต่อราคาที่จะต้องสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น คุณควรที่จะเลือกความจุที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ เพื่อเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณอีกด้วย

  2. ระบบการป้องกันข้อมูล
    การใช้งานอุปกรณ์ไอทีที่เกี่ยวกับการเก็บหรือสำรองข้อมูลในปัจจุบันให้ความสำคัญการเก็บรักษา และป้องกันข้อมูลจากบุคคลอื่น ซึ่งฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาก็มีเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูล หรือการบันทึกข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบุคคลอื่นด้วยเช่นกัน รวมทั้งมีเทคโนโลยีที่ป้องกันการสั่นสะเทือนที่อาจจะทำให้ข้อมูลเสียหาย เนื่องจากการพกพาเคลื่อนย้ายไปตามสถานที่ต่างๆ อีกด้วย

  3. การเชื่อมต่อ
    ฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาโดยส่วนมากจะเชื่อมต่อผ่านทาง USB 1.1/2.0 หรือ IEEE 1394 400/800 (ที่คนส่วนมากรู้จักกันในชื่อ FireWire) ถ้าคุณต้องการความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล การเชื่อมต่อแบบ USB 2.0 และ FireWire 800 ถือว่าตอบสนองความต้องการของคุณได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากว่าคุณต้องการโอนถ่ายข้อมูลในปริมาณที่มากขึ้น ไฟล์ใหญ่ขึ้นเนื่องจากเก็บภาพยนตร์ หรือเก็บข้อมูลระดับ GB ขึ้นไป การใช้งาน USB คงจะไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงมีเทคโนโลยีใหม่ออกมา คือ external Serial ATA (eSATA) แต่เดิมนั้น SATA ถูกออกแบบมาเพื่อการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์แบบติดตั้งไว้ภายในตัวเครื่องเท่านั้น แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีจนสามารถใช้ต่อแบบภายนอกได้ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเชื่อมต่อพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ในระดับไฮเอ็นด์ ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลของ eSATA มีมากกว่า USB 2.0 และ FireWire ถึง 6 เท่า โดย USB 2.0 มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล 480 Mbps ในขณะที่ FireWire 400 Mbps เท่านั้น ดังนั้นการเชื่อมต่อแบบ eSATA จึงมีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว

  4. ขนาดของตัวไดร์ฟ
    ขนาดของตัวไดร์ฟมีขนาดแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการใช้งาน ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 3.5 นิ้ว, 2.5 นิ้ว, 1.8 นิ้ว, 1 นิ้ว และ 0.85 นิ้ว ขนาดมาตรฐานคือ 3.5 และ 2.5 นิ้ว ถ้าหากว่ายิ่งมีขนาดเล็กเท่าไหร่ก็จะมีความสะดวกสบายในการพกพามากขึ้นเท่านั้น แต่การทำงานและประสิทธิภาพน้อยลงไปด้วย

  5. ความเร็วรอบ
    ความเร็วรอบมีความสำคัญในการค้นหาข้อมูล ยิ่งมีความเร็วรอบมากเท่าไหร่ การเข้าถึงข้อมูลย่อมรวดเร็วขึ้นตามไปด้วย โดยความเร็วรอบมีหน่วยเป็น Revolutions Per Minute (rpm) ความเร็วรอบมีตั้งแต่ 3,600 rpm ถึง 15,000 rpm ความเร็วรอบที่ใช้ในฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 7,200 และ 5,400 rpm แต่ถ้าเป็นความเร็วรอบมากๆ ระดับหลักหมื่นโดยส่วนมากจะใช้กับฮาร์ดไดร์ฟแบบติดตั้งภายในตังเครื่องและใช้กับเซิร์ฟเวอร์หรือระดับไฮเอนท์เท่านั้น

  6. หน่วยความจำบัฟเฟอร์
    การใช้หน่วยความจำบัฟเฟอร์หรือหน่วยความจำแคช (Cache) เพื่อเป็นการพักข้อมูลก่อนที่จะแสดงผลออกมา การที่มีหน่วยความจำบัฟเฟอร์เพิ่มมากขึ้น ก็จะมีส่วนช่วยให้การทำงานฮาร์ดไดร์ฟนั้นรวดเร็วขึ้นตามไปด้วย ซึ่งคุณควรจะมองหาหน่วยความจำบัฟเฟอร์ขนาด 8 MB หรือ 16 MB มากกว่า 2 MB

  7. ซอฟต์แวร์
    เครื่องฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพา ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับการสำรอง กู้ข้อมูล หรือระบบป้องกันข้อมูลติดตั้งมาพร้อมกับเครื่องด้วย ซึ่งทำให้คุณสะดวกสบายในการใช้งานเนื่องจากไม่ต้องหาโปรแกรมมาลงเพิ่ม

  8. การรับประกัน
    การที่คุณต้องพกพาเครื่องนี้ไปไหนมาไหนตลอดเวลาอาจจะทำให้เครื่องนี้มีปัญหาได้ง่าย ซึ่งปัญหาไม่ว่าจะเกิดจากการกระแทกแรงๆ หรือจากปัจจัยอื่น ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อคือคุณต้องดูระยะเวลาในการรับประกัน ระยะเวลาในการส่งเคลมสินค้า โดยคุณอาจจะต้องเลือกระยะในการรับประกันนานหน่อย เพราะถ้าหากเกิดความเสียหายคุณก็มั่นใจได้ว่ามันยังอยู่ในประกันคุณไม่ต้องเสียเงิน (เว้นแต่ว่าความเสียหายอยู่นอกเหนือจากการประกัน แบบนี้ก็ตัวใครตัวมันละกัน) และคุณควรเก็บใบรับประกันหรือสติ๊กเกอร์เก็บรับประกันให้ดี อย่าให้ลอก หรือหลุดหายไป ไม่งั้นแล้ว ทางร้านจะไม่รับประกันเครื่องคุณก็ได้ และที่สำคัญ คุณควรซื้อจากร้านค้าที่มั่นใจได้ เกิดวันดีคืนดีปิดกิจการไปแล้วมันจะเกิดเรื่องยุ่งยากแก่คุณได้
ปัจจัยในการเลือกซื้อยังมีอีกหลายอย่างนอกเหนือจากที่กล่าวข้างบนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถ รองรับได้ ซึ่งระบบสามารถใช้ได้ตั้งแต่ Windows98/98SE/ME/XP/Vista และสามารถใช้งานกับเครื่อง Mac ได้อีกด้วย ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ไม่น่าจะมีปัญหากับผู้ใช้งาน

หรือแม้กระทั่งการออกแบบตัวเครื่อง โดยผู้ผลิตมีการออกแบบเน้นความสวยงาม มีเอกลักษณ์ และขนาดเล็ก เพื่อที่จะทำให้คุณง่ายแก่การพกพามากขึ้น รวมทั้งเรื่องน้ำหนักของตัวเครื่องก็มีส่วนในการตัดสินใจซื้อฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาอีกด้วย

ราคาของฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจซื้อ ถ้าหากคุณต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงราคาก็จะต้องสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรเสียก็ดูเงินในกระเป๋าคุณด้วยว่าเพียงพอสำหรับการจ่ายหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม ฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลอย่างเดียวเสมอไป แต่บางเครื่องยังมีฟังก์ชันการใช้งานอื่นๆ อีกด้วย เช่น เป็นเครื่องเล่น MP3, ใช้เป็น Card reader สามารถเชื่อมต่อกับโทรทัศน์ได้โดยตรง หรือการใช้งานผ่านระบบเครือข่ายอีกด้วย

การเลือกซื้อฮาร์ดไดร์ฟให้เหมาะกับการใช้งานของคุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อ เพราะมันจะทำให้คุณใช้งานเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า และจากข้อมูลที่ได้กล่าวไปมากมายคงจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกตรงใจคุณอย่างแน่นอน

ฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาแบบไหนตรงใจคุณที่สุด



iPod touch
สำหรับบางคนที่ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลมากนัก แต่สามารถสนุกเพลิดเพลินไปกับการฟังเพลง ซึ่งคุณสามารถใช้เก็บข้อมูล และเก็บเพลงพร้อมทั้งฟังเพลงไม่ว่าที่ใดก็ได้ เครื่องนี้ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของคุณเลยทีเดียว

iPod Touch ถือได้ว่าเป็นเครื่องที่สามารถฟังเพล งและเก็บข้อมูลได้ โดยมีการควบคุมผ่านจอสัมผัสแบบ Multitouch ขนาด 3.5 นิ้ว มีปุ่มควบคุมแบบ iPod Shuffle นอกจากนี้ มันยังติด WiFi และสามารถเล่นเว็บผ่าน Safari ได้ ซึ่งมีให้เลือก 2 รุ่นตามขนาดความจุคือ 8 GB และ 16 GB

ราคา 8 GB 12,500 บาท, 16 GB 16,700 บาท



Samsung YH-925GS
เครื่องเล่น MP3 ที่สามารถนำมาใช้เป็นฮาร์ดไดร์ฟแบบพก พาได้ เนื่องจากมีหน่วยความจำมากถึง 20 GB ด้วยฮาร์ดไดร์ฟขนาด 1.8 นิ้ว คุณสามารถอัดเพลงได้ประมาณ 5,000 เพลง หรือ 320 ชั่วโมง รองรับไฟล์ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Motion JPEG, MP3, WMA และ Audible การแสดงผลหน้าจอสี TFT color LCD 26 ล้านสี มีการเชื่อมต่อผ่าน USB2.0 รับสัญญาณวิทยุ สามารถบันทึกเสียงได้ สำหรับแบตเตอรี่เป็นแบบชาร์ทในตัว เล่นต่อเนื่องได้นาน 9 ชั่วโมง และมีน้ำหนักเบาเพียง 150 กรัมเท่านั้น

ราคา 19,000 บาท


Apple TV
สำหรับเครื่องนี้ถือได้ว่าเป็นคลังภาพและเสียงที่สมบูรณ์แบบ โดยสามารถเก็บได้ทั้งไฟล์รูปภาพ เพลง และภาพยนตร์ ซึ่งแต่เดิมคุณสามารถรับชมข้อมูลต่างๆ ผ่านโปรแกรมไอทูนส์ แต่เครื่องนี้สามารถดูหนัง ฟังเพลง และรูปภาพสวยๆ ของคุณผ่านจอทีวีของคุณได้ แทนที่มองจากคอมพิวเตอร์หรือไอพอดเพียงอย่างเดียว

แอปเปิ้ลทีวีมีความจุให้เลือกที่ 40 GB และ 160 GB ซึ่งในรุ่นความจุ 40 GB นั้น สามารถเก็บไฟล์ภาพยนตร์ได้ถึง 25 เรื่อง หรือไฟล์เพลงถึง 9,000 เพลง และไฟล์รูปภาพได้ถึง 25,000 ไฟล์ นอกจากนี้ยังมีระบบ 720g High-definition video ซึ่งเป็นระบบการส่งข้อมูลแบบไร้สาย (Wireless) และการเชื่อมต่อกับโทรทัศน์สามารถทำได้ผ่านช่องรับสัญญาณด้านหลังของแอปเปิ้ลทีวี ที่เป็น HDMI กับช่องรับสัญญาณที่เป็น Component port ซึ่งมีอยู่ในโทรทัศน์เกือบทุกระบบ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับไอทูนส์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทาง Built-in WiFi 802.11 อีกด้วย

แต่ถ้าที่บ้านหรือที่ทำงานของคุณไม่ได้มีการติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายเอาไว้ ก็สามารถเชื่อมต่อผ่านสาย Lan หรือ USB ได้ โดยการเชื่อมต่อผ่านสาย Lan จะให้ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็วกว่าการใช้สาย USB และยังง่ายต่อการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย

สำหรับแอปเปิ้ลทีวี สามารถใช้งานได้กับโปรแกรมไอทูนส์เวอร์ชั่น 7 ขึ้นไป และเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการแมค (Mac OS X) หรือกับระบบปฏิบัติการ Windows PC หรือ Windows XP Home/Professional ก็ได้

ราคา 15,301 บาท



Western Digital Media Center 250 GB
ฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาเครื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยวคือต้องการเก็บรูปภาพในขณะเดินทาง ซึ่งมีวิธีการง่ายๆ เพียงใช้หน่วยความจำการ์ดจากกล้องดิจิตอลเสียบเข้าไปยังตัวเครื่องฮาร์ดไดร์ฟ โดยไม่ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องนี้มีความจุ 250 GB สามารถรองรับการ์ดประเภทต่างๆ ได้ถึง 8 ชนิด มีการเชื่อมต่อผ่าน USB 2.0 และ FireWire หน่วยความจำ Cache 8 MB และความเร็วรอบ 7,200 rpm

ราคา 200 ดอลลาร์สหรัฐ



Buffalo 250GB DriveStation Combo
เครื่องนี้สามารถให้คุณจัดเก็บข้อมูล สำรองไฟล์ข้อมูล และถ่ายโอนข้อมูลของคุณไม่ว่าจะเป็นเพลงโปรด ภาพถ่ายหรือ วิดีโอ ได้อย่างง่ายดาย มีความจุขนาด 250GB ในการเชื่อมต่อมีการเชื่อมต่อได้ง่ายผ่านทาง USB 1.1 และ 2.0 และ Firewire (IEEE 1394) ซึ่งมีการติดตั้งไว้ภายในตัวเครื่องแล้ว สามารถใช้งานได้ในระบบปฏิบัติการ Windows 2000, XP หรือ Mac OS X ซึ่งสามารถติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบแนวตั้งและแนวนอน Hard drive ความเร็วสูง 7200 RPM SATA

ราคา 4,500 บาท



Seagate FreeAgent Pro 750GB
เครื่องนี้มีความจุ 750GB ที่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น มีขนาด 10 x 10 x 5 นิ้ว น้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม มีรูปลักษณ์ดีไซน์ที่โดดเด่นพร้อมนวัตกรรมใหม่ๆ ตัวเครื่องมีระบบสำรองข้อมูลมาด้วย เมื่อเริ่มใช้งานระบบ Auto Backup จะคอยตรวจสอบว่ามีการสร้างไฟล์หรือโฟลเดอร์ใหม่ๆ หรือไม่ หรือว่ามีข้อมูลอะไรที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่า และรองรับการเข้ารหัสข้อมูล

เครื่องนี้มีความเร็วรอบอยู่ที่ 7,200 rpm ขนาดบัฟเฟอร์ 16 MB รองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบ USB 2.0 และ FireWire และสามารถรองรับ eSATA ด้วยเช่นกัน แต่คุณอาจจะต้องซื้อสายเคเบิล

ราคา 12,900 บาท



Buffalo 500GB DriveStation External USB 2.0 SATA
เครื่องนี้ให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้โดยง่ายเพียงเพียงอุปกรณ์เข้ากับคอมพิวเตอร์ของคุณเพียงเท่านี้คุณก็สามารถ ใช้งานในการจัดเก็บ และสำรองข้อมูลได้แล้ว ที่มีขนาดความจุมากถึง 500GB ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมเครื่องคือ Memeo AutoBackup และ SecureLockWare ที่จะทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยได้ว่าข้อมูลของคุณจะไม่ถูกขโมย หรือมีการบันทึกผิดพลาดจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต Hard drive ความเร็วสูง 7200 RPM รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0 และ IEEE 1394 รองรับระบบปฏิบัติการ Windows me, 2000, และ XP รวมทั้ง Max OS X อีกด้วย

ราคา 7,900 บาท



Netdisk Mega NDAS
สำหรับเครื่องนี้รองรับการใช้งานผ่านระบบเครือข่ายได้โดยตรง โดยไม่ต้องแก้ไข IP หรือ ต้องใช้ Server ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไฟล์ จัดเก็บข้อมูลพร้อมทั้งการสำรองข้อมูลก็สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้โดยตรง ที่ใช้งานกับฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว สนับสนุนการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0 เครื่องนี้สามารถใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แถมมีพัดลมระบายอากาศพร้อม LED สำหรับการแสดงการทำงานด้านหน้าอีกด้วย พร้อมทั้งใช้ได้กับระบบปฏิบัติการ Windows, Linux และ Mac OS

ราคา ไม่ระบุ



Grand Wise Box 4
เป็นเครื่อง Digital Multimedia Player ที่สามารถทำงานได้เป็น Digital Media Player ที่สามารถดูหนัง ฟังเพลงจากตัวเครื่องได้ สามารถบรรจุเพลงได้มากมายเนื่องจากใช้ฮาร์ดไดร์ฟขนาด 2.5 นิ้ว สามารถเล่นไฟล์หนัง เพลง และรูปถ่าย โดยต่อตรงเข้ากับทีวีได้ อีกทั้งสามารถทำงานได้เป็น Memory Card Reader/Writer สำหรับการนำภาพจากกล้องดิจิตอลเข้าไปเก็บไว้ในตัวเครื่องหรือคอมพิวเตอร์อีกด้วย และสามารถทำงานเป็นฮาร์ดไดร์ฟแบบพกพาโดยมีขนาดความจุตั้งแต่ 20-100 GB เลยทีเดียว

ราคา 40GB 9,900 บาท 60GB 10,900 บาท 80GB 12,900 บาท



Lacie Big disk Extreme with Triple Interface 1TB
เป็นเครื่องที่สามารถเก็บไฟล์ข้อมูล เพลง ภาพ รวมถึงการสำรองข้อมูล ความเร็วรอบในการอ่าน 7200 rpm ระดับ cache 16MB บันทึกข้อมูลได้มากถึง 1TB รองรับการเชื่อมต่อแบบ FireWire 800/400 และ USB 2.0 รองรับระบบปฏิบัติการ Windows และ Mac มีน้ำหนักมากถึง 2.5 กิโลกรัม

ราคา 22,000 บาท

ที่มา : ecommerce-magazine

Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น

20 สุดยอด วิธีแก้ปัญหากวนใจชาว Windows
มาดูวิธีขับไล่ปัญหากวนใจทั้งหลายของ Windows XP และวิธีจัดการให้ PC ของคุณสุขภาพดีกันเถอะ
________________________________________

โอ้สวรรค์! เป็นเรื่องดีจริงๆ ที่ระบบ Windows เป็นอะไรที่ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเลย ปัญหาพวกระบบค้างและบั๊กต่างๆ ที่มาคอยกวนใจเราชาว XP ก็หาได้ยากยิ่งนัก เอาล่ะ…พอเหอะ! ที่ชาวบ้านเค้าจะเผ่นหนีไปใช้ Linux หรือ OS อื่นๆ กันหมด เพราะพวกเค้าเริ่มทนไม่ได้กับปัญหาเหล่านั้นแล้วล่ะ

จริงๆ แล้วคุณก็พอแก้ปัญหาได้อยู่ใช่มั้ย? คุณมี System Restore ที่ใช้แก้ปัญหาแบบฟันฉับเดียวรักษาทุกโรค หรือถ้าอาการหนักจริงๆ ก็เสกคาถา [F8] ตูมเดียวให้ระบบเลือกบูท Last Known Good Configuration เป็นท่าไม้ตายสุดยอด

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถช่วยให้คุณจัดการกับเรื่องยุ่งยากทั้งหลายกับ 20 วิธีแก้ปัญหาชิวๆ ที่แม้ไม่สามารถชุบชีวิต PC ที่ขึ้นสวรรค์ไปแล้วให้กลับมาได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณสุขภาพจิตดีขึ้นบ้างล่ะน่า ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมพังหรือเน็ตเวิร์กทำงานแปลกๆ หรือเมื่อระบบไม่ยอมให้คุณใช้งานใดๆ เรารวบรวมไว้ให้คุณทั้งหมดแล้ว
  1. วิธีใช้งาน CHKDISK แบบเร็ว
    เมื่อแน่ใจว่าฮาร์ดดิสก์เกิดอาการ เพี้ยนๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการแปลกๆ ตอนบูทเครื่อง, เปิดโปรแกรมไม่ค่อยขึ้น หรือมีข้อความแปลกๆ ไม่ได้รับเชิญปรากฎขึ้นมา คงต้องใช้ Chkdsk ที่มากับ Windows XP เพื่อสแกนตรวจหาปัญหาใน sector ของฮาร์ดดิสก์และซ่อมมันให้เรียบร้อย แม้ว่าคุณสามารถเปิดโปรแกรมได้จาก Recovery Console แต่ยังมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น เพียงคลิกขวาที่ My Computer แล้วเลือก Properties มองหาช่องที่เขียนว่า Tools แล้วคุณจะเห็นปุ่มที่ใช้เรียกมันขึ้นมา หากคุณต้องการสแกนไดรฟ์หลัก คุณจะต้องสั่งรีบูทเครื่องหลังจากเสร็จสิ้นการสแกนด้วย

  2. ส่ง Error Reporting ไม่ได้
    มันเป็นฟังก์ชันที่ดีมากๆ ที่ให้เราๆ สามารถส่งข้อมูลว่าโปรแกรมไหนเสียยังไงไปให้ Microsoft ได้ แต่บางทีฟังก์ชัน Error Reporting ก็เสียซะเองนี่สิ มันเป็นเรื่องที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโปรแกรมออนไลน์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเกมหรืออินเตอร์เน็ตบราวเซอร์ ก็มักจะมีปัญหาระบบภายในอยู่บ่อยๆ หากต้องการให้มันหายเป็นปกติ ก็ใส่ซีดีติดตั้ง XP เข้าไปแล้วพิมพ์คำว่า sfc/scannow ตรงหน้าต่าง Run เท่านี้ก็เรียบร้อย

  3. เชื่อมต่อสัญญาณเน็ตเวิร์กไร้สายไม่ได้
    หากคุณไม่สามารถเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กไร้สายได้ทั้งๆ ที่การทำงานของ WiFi ก็บอกคุณอยู่โท่งๆ ว่ามันมีสัญญาณเต็มเปี่ยม บางทีปัญหาอาจจะมาจากโปรแกรม Wireless Zero Configuration ของอีตา Microsoft ก็ได้ ให้คุณคลิกขวาที่ My Computer เลือก Manager แล้วขยาย Services and Applications ออกมา ภายใต้ Services หาคำว่า Wireless Zero Configuration แล้วดับเบิ้ลคลิก คุณจะมาโผล่ที่แท็บ General สั่ง Stop เพื่อหยุดการทำงานของมัน รอสักครู่แล้วสั่งเปิดการทำงานของมันใหม่ driver อุปกรณ์ไร้สายน่าจะทำงานถูกต้องแล้ว และคุณก็น่าจะเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว

  4. ลืมรหัสผ่าน ทำไงดี?
    หาก คุณทำรหัสผ่านของ User Account หาย รีบูทเข้า Safe Mode เลือก log on user เป็น Administrator ปกติ account นี้จะถูกซ่อนอยู่ (ซึ่งคุณจะได้สิทธิ์และอำนาจเป็นผู้ดูแลระบบ) และหากคุณไม่เคยสร้าง account นี้ตอนติดตั้ง XP ก็กดเข้าไปได้เลย ไม่ต้องใส่รหัสผ่าน จากนั้นเปิด Control Panel แล้วสั่ง reset the User Account passwords เท่านี้ก็เรียบร้อย

  5. ป้องกันการติดตั้ง driver
    หากคุณต้องการเก็บ driver ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรืออยู่ในขั้นทดลองให้พ้นจากระบบของ คุณ คุณก็สามารถสั่งให้ Windows XP จัดการปิดบัญชีเรื่องนี้ได้เลย ให้เปิด System Properties แล้วคลิกแท็บ Hardware และเลือก Driver Signing ที่นี่คุณสามารถสั่งปิดกั้น driver ที่ไม่ได้เรื่องทั้งหมด (หรือจะให้มีข้อความขึ้นเตือนก่อนก็ได้) สั่งให้ป้องกันทั้งระบบ หรือไม่อนุญาตให้ผู้ใช้ระบบคนอื่นๆ มาติดตั้ง driver ซี้ซั้วและอาจทำให้คุณตกที่นั่งลำบากได้

  6. สำรองพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ไว้ขณะกำลังเขียนแผ่น CD/DVD
    หากคุณสังเกตได้ว่าทุกครั้งที่เขียนแผ่น CD หรือ DVD พื้นที่ฮาร์ดดิสก์จะลดลงไปเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าโปรแกรมเขียนแผ่นกำลังใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ในการเก็บอิมเมจไฟล์ไว้ตรงไหนสักแห่งในเครื่อง PC ของคุณ ลองกลับไปดูตัวเลือกของโปรแกรมแล้วปิดคำสั่งเล่นซ่อนหาไฟล์อิมเมจนี้ซะ อ้อ! ปกติแล้วมันน่าจะเก็บไฟล์ไว้ที่ My Documents ไม่ก็ Program Files

  7. หลีกเลี่ยงปัญหาตอนบูทเครื่อง
    หากระบบของคุณบูทช้าแบบสุดๆ และคุณก็ไม่ต้องการติดตั้งระบบใหม่ งั้นลองฟังก์ชัน Hibernate แทนการปิดเครื่องดูสิ คุณสามารถเปิดการใช้งานนี้ได้โดย ไปที่ Power Options (ซึ่งอยู่ใน Display Properties ของ Screen Saver) จากนั้นเมื่อคุณคลิก Turn Off Computer ให้กด [Shift] ค้างไว้แล้วเลือก Stand By เพื่อใช้คำสั่ง Hibernate นี้

  8. อยากลบไฟล์งี่เง่าที่ลบยังไงก็ลบไม่ออก
    หากคุณไม่สามารถลบไฟล์ด้วยวิธีธรรมดาๆ แล้ว ให้เปิด Command Prompt แล้วเปลี่ยน path ไปให้ถึงที่ที่ไฟล์เจ้าปัญหานั้นอ ยู่ จากนั้นสั่งปิด explorer.exe โดยใช้โปรแกรม Task Manager เลือกแท็บ Processes กลับไปที่ Command Prompt แล้วพิมพ์ DEL เว้นวรรค ตามด้วยชื่อไฟล์ที่ต้องการลบ New Task เสร็จแล้วก็เปิด Task Manager คลิก Fileàแล้วพิมพ์คำว่า explorer.exe เพื่อให้หน้าจอเดสก์ท็อปกลับมาเป็นอย่างเดิม

  9. ไฟล์ไม่ได้มาตรฐานไสหัวไปให้หมด!!
    อะจ๊าก! ค้างอีกแล้ว…มันเกิดอะไรขึ้น? คุณไม่เพียงแค่อยู่ให้ห่างจาก driver ที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างเดียวเท่านั้น ไฟล์ที่ไม่ได้มาตรฐานก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาได้ไม่แพ้กัน เพราะว่าระบบ PC มีการออกแบบที่ดีเยี่ยม (จริงแล้วห่วยสุดๆ ) แบบว่าไฟล์ระบบอาจถูกทับโดยการติดตั้งโปรแกรมหรืออุปกรณ์ต่างๆ หรือไม่ก็อาจถูกอัพเดทจากโปรแกรมหรือ malware ตัวร้ายได้เสมอ ดังนั้นคุณอาจต้องสแกนฮาร์ดดิสก์ของ คุณแม้ไม่อยากทำเลยก็ตาม เพียงคลิก Run แล้วพิมพ์ sigverif โปรแกรม File Signature Verification ก็จะเปิดขึ้นมา ให้คุณคลิก Start เพื่อเริ่มทำงานได้เลย อย่าลืมเตรียมแผ่นติดตั้ง XP ไว้ให้พร้อมด้วยนะ
    “หากระบบของคุณบูทช้า และคุณก็ไม่ต้องการติดตั้งระบบใหม่ ลองฟังก์ชัน Hibernate แทนการปิดเครื่องดูสิ”

  10. ไดรฟ์ CD/DVD หายไปไหนแว้ว!?
    เพราะว่า Windows XP มีเรื่องที่ต้องจดจำเยอะแยะไปหมด ฉะนั้น…บางทีเฮียเค้าเลยเกิดอัลไซเมอร์รับประ ทาน ลืมไดรฟ์ CD/DVD ของคุณไป แม้ว่ามันจะเห็นอยู่ทนโท่ใน Device Manager ก็ตาม ในกรณีนี้ให้คุณเปิด RegEdit แล้วไปที่ HKEY-LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentConstrolSet\Control\Class\{4D36E965-E325-11CE-EBC1-08002BE10318} แล้วลบค่าใน UpperFilters กับ LowerFilters ออกไป จากนั้นรีบูทเครื่อง 1 ครั้ง คุณต้องติดตั้งโปรแกรมเขียนแผ่นใหม่ด้วยแหละ…ซวย 2 ชั้นของจริง

  11. ไฟล์/โฟลเดอร์นี้…ฉันจอง
    ถ้าหากคุณไม่สามารถทำอะไรกับไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่อยู่ใน Windows XP ได้ เนื่องจากอาจมีใครใช้อยู่ที่ไหนสักแห่ง คุณอาจต้องติดป้ายแสดงความเป็นเจ้าของไฟล์/โฟลเดอร์ไว้ โดยคลิกขวาที่ไฟล์/โฟลเดอร์ที่ต้องการแล้วเลือก Properties จากนั้นเลือก Security, Advance และ Owner ตามลำดับ ตรงรายชื่อให้คุณเลือก username ของคุณ (หรือ Administrator ถ้ามี) เสร็จแล้วเลือก Replace owner on subcontainers and objects

  12. ยกเลิกการทำดัชนีไฟล์ (File Index)
    หากคุณไม่ได้มีความจำเป็นเลิศเหมือนพวกปากหอยปากปู และปกติคุณก็ใช้โปรแกรม Search ในการค้นหาเฉพาะไฟล์เอกสารกับรูปภาพยุคพระเจ้าเหาแค่นั้น การทำดัชนีไฟล์ดูจะเป็นการใช้ทรัพยากรระบบที่มากเกินไปจนทำให้อะไรๆ ช้าลงไป ถ้าอยากจะปิดมัน…ง่ายมาก เพียงเปิด My Computer คลิกขวาที่ไอคอนฮาร์ดดิสก์ เลือก Properties ให้ดูที่แท็บ General แล้วคุณจะเห็นตัวเลือกการทำดัชนีไฟล์ ให้สั่งปิดมันไปเลย…จบ

  13. Firewall ที่น่ารำคาญ
    หาก Firewall ที่ติดตั้งมากับ Windows ทำให้คุณประสาทเสียและคุณก็ไม่รู้จะ ปิดมันจาก control Panel ยังไง (เพราะว่าตัวเลือกที่จะปิด มันเป็นสีเทาอยู่น่ะสิ) ให้คุณเปิดหน้าต่าง Run แล้วพิมพ์ net start SharedAccess ไม่ต้องมีเครื่องหมายคำพูดนะ และกลับกัน…หากคุณต้องการปิดมันก็ให้พิมพ์ net stop SharedAccess

  14. อย่าใช้ Super Prefetch เลยคุณ
    คุณที่เค้าคุยไว้ว่าจะมีฟังก์ชันที่เข้า มาช่วย registry ให้สามารถทำงานได้เร็วฟ้าผ่า ด้วยเทคโนโลยี Super Prefetch ที่มีเฉพาะ Service Pack 2 กับ Windows Vista น่ะ ขี้โม้สุดๆ เลยคุณ เพราะแม้ว่าจะปรับ registry ไปแล้ว ระบบของคุณก็ยังทำงานช้าเป็นเต่าอยู่ดี เว้นแต่คุณจะสั่ง defrag ไฟล์ Prefetch ซะก่อน เพียงเปิดหน้าต่าง Run แล้วพิมพ์ defrag c: -b

  15. Logon ให้เร็วขึ้น
    Autoexec.bat เป็นไฟล์ที่ใช้สั่งให้โปรแกรมทำงานตอนบูทเข้าระบบ Windows แต่ก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะว่า Windows XP ทำงานด้วยขั้นตอนที่ต่างไปจากเดิม อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายโปรแกรมที่ยังมีไฟล์นี้อยู่ และบางทีก็อาจทำให้การเข้าระบบเร็วขึ้นก็ได้ งั้นอย่ารอช้า รีบเปิด RegEdit แล้วไปที่ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows NT\CurrentVersion\Winlogon แล้วสร้างหรือแก้ไขค่าของ ParseAutoexec DWORD ให้เป็น 0 จากนั้นรีบูทเครื่องดู

  16. ปิดเครื่องแล้วค้าง ทำไงดี?
    ถ้าคลิก Shut Down แล้วอีก 20 นาทีต่อมาเครื่องของคุณยังค้างอ ยู่ แถมยังเจอปัญหาว่า Adobe Reader เพี้ยนไปแล้ว ปิดไม่ลงจ้า!! คงน่าหงุดหงิดเหมือนกันนะ แต่ไม่เป็นไร ให้คุณไปจบชีวิตเพี้ยนๆ ของมันที่ RegEdit และเข้าไปเปลี่ยนค่าของ HKEY_USERS\DEFAULT\Control Panel\Desktop\AutoEndTasks ให้เป็น 1 ค่านี้จะทำให้ Windows XP หลับหูหลับตาปิดข้อความแจ้งปัญหาที่จะทำให้ระบบของคุณทำงานช้าลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งหมด

  17. ปัญหาโปรแกรมไม่เสถียร
    ถ้า อยู่ๆ โปรแกรมที่เคยใช้งานดีๆ เกิดดื้อแพ่ง ระเบิดตัวเองหรือค้างแหง่กๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นไปได้ว่าไฟล์ .dll ของมันเองอาจทำงานไม่เรียบร้อยตอนที่คุณเลิกใช้โปรแกรมนั้นๆ พอนานเข้า ก็เลยยิ่งไม่เสถียรหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าแล้วก็เปิด RegEdit แล้วไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer แล้วสร้างค่า DWORD ที่ชื่อว่า AlwaysUnloadDll ขึ้นมาใหม่ แล้วตั้งค่าให้เป็น 1

  18. ล้างบางข้อมูลตอนติดตั้งโปรแกรม
    เมื่อเวลาติดตั้งโปรแกรมผิดพลาดและคุณไม่สามารถติดตั้งใหม่ได้ (มักมีอะไรบางอย่างผิดปกติจนทำให้เกิดความผิดพลาดในซอฟต์แวร์ Java) ดังนั้นคุณจะต้องเอาไฟล์เน่าๆ ที่ค้างอยู่ในเครื่อง PC ของคุณตอนติดตั้งครั้งแรกออกไปซะก่อน แต่ถ้าจะมานั่งหาเองคงไม่หมู เพราะไฟล์ส่วนใหญ่จะหลบอยู่ตามหลืบต่างๆ ทางที่ดีควรใช้โปรแกรม Windows Installer CleanUp จัดการให้ดีกว่า คุณสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมนี้ได้ที่ support.microsoft.com/kb/290301 แล้วใช้มันสแกนหาเศษซากไฟล์ที่เหลืออยู่ติดตั้งเพื่อให้คุณลบมันทิ้งไปเอง

  19. Defragment สะดุด…ทำไงดี?
    ถ้า เกิดโปรแกรม Defragment ที่ติดมากับ Windows ทำงานอืดลงกว่าเมื่อก่อน หรือไม่ยอมทำงานให้คุณเลย อาจเป็นเพราะว่ามี sector ในฮาร์ดดิสก์เสียจนทำให้ระบบหยุดการทำงานก็เป็นได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว สาเหตุน่าจะมาจากไฟล์สำรองที่โปรแกรม เว็บบราวเซอร์เก็บไว้ทำ cache เป็นตัวก่อปัญหามากกว่า วิธีง่ายๆ ที่จะเขี่ยไฟล์เหล่านี้ออกไป ก็เพียงแค่ใช้โปรแกรม Chkdsk ก่อนทุกครั้งที่จะใช้โปรแกรม Defragmenter ก็เท่านั้น

  20. ครั้นจะปิดโปรแกรม Outlook มันช่างยากเย็นกว่าที่คุณคิด…
    หากคุณใช้ Outlook 2003 อยู่ ก็คงเห็นไอคอนโปรแกรมอยู่ตรง system tray และมันก็ยังทำงานไปได้เรื่อยๆ แม้ว่าคุณจะสั่งปิดโปรแกรมไปแล้วก็ตาม แบบว่ามันยังตรวจเช็คอีเมลอยู่ แต่ไม่ยอมให้คุณใช้งานมันแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ให้คุณใช้ Task Manager สั่งจับตายทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Outlook ให้หมด จากนั้นค่อยเปิด Outlook ใหม่แล้วคลิก Tools, Options, Other, Advanced Options และเลือก COM Add-ins ตามลำดับ พวกโปรแกรมเสริมที่เห็นนี้คือโปรแกรมยี่ห้ออื่น (เช่น ตัวสแกนไวรัส) และหากโปรแกรมเหล่านี้ยังทำงานอยู่ตอนที่คุณสั่งปิดโปรแกรมไป (แบบว่ายังสแกนอีเมลของคุณอยู่) โปรแกรมนั้นก็จะยังทำงานที่ค้างอยู่ต่อไป ดังนั้นให้คุณยกเลิกการใช้ Add-ins นี้ทีละอันจนกว่าคุณจะเจอว่าโปรแกรมไหนที่สร้างปัญหาให้คุณ
ที่มา http://cit.kmitnb.ac.th/ebook/

Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

หลังจากที่ได้แนะนำ วิธีการปรับแต่ง Windows 98 กันไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงคิวของการปรับแต่ง Windows XP กันบ้าง ความจริงแล้ว ระบบปฏิบัติการ Windows XP นั้น มีการจัดการกับส่วนต่าง ๆ ที่ค่อนข้างจะดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็น จะต้องไปปรับแต่ง อะไรเพิ่มเติมกันอีก แต่ถ้าหาก ใครอยากจะเสริมโน่นนิด นี่หน่อย ก็ลองมาดูขั้นตอน การปรับแต่ง Windows XP กันได้เลยครับ

  • ทำการลง Driver ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีมาให้สำหรับ Windows XP โดยเฉพาะ
    สำหรับท่านที่ใช้งาน Windows XP นั้น ความจริงหลังจากที่ลง Windows ใหม่ ๆ แล้ว อุปกรณ์บางตัว อาจจะสามารถ ทำงานได้เลย โดยไม่ต้องมานั่งลง Driver ให้ยุ่งยาก แต่เพื่อให้อุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น สามารถทำงานได้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ มากขึ้น ขอแนะนำให้ทำการลง Driver ของอุปกรณ์แต่ละตัวไปอีกครั้งด้วย จะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ในการใช้งานได้มาก

  • การปรับแต่ง Performance ของระบบให้ทำงานได้เร็วขึ้น
    เป็นการตั้งค่า Virtual Memory ของระบบที่เหมาะสม โดยเริ่มจากการคลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Advanced ในช่อง Performance กดที่ปุ่ม Settings >> Advanced และด้านล่างเลือกกดที่ปุ่ม Change จะได้ตามภาพ



    ทำการเปลี่ยนค่าของ Virtual ให้เป็นแบบ Custom size และกำหนดไว้ที่ 512-512 ตามภาพแล้วกด OK จากนั้นเครื่องจะทำการ Restart ใหม่ครั้งหนึ่งก่อนครับ

  • การปรับแต่ง Startup and Recovery ของระบบวินโดวส์
    เป็นการกำหนดขั้นตอน เมื่อระบบวินโดวส์เริ่มต้นทำงาน และการกำหนดการกระทำ เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นให้เหมาะสม โดยทำการคลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Advanced ในช่อง Startup and Recovery กดที่ปุ่ม Settings จะได้ตามภาพ



    ทำการยกเลิกการเครื่องหมายถูกใต้ช่อง System failure ออกให้หมด (สำหรับเครื่องหมายถูกด้านบนใต้ช่อง system startup ให้ปล่อยไว้ตามเดิม เนื่องจากเป็นการกำหนดการเลือกบูต Windows แบบหลายระบบ หรือถ้าหากเครื่องนั้น ลงระบบ Windows ไว้แค่ตัวเดียว ไม่ได้ใช้ลูกเล่นนี้ก็เอาออกไปได้เช่นกันครับ) จากนั้นก็กด OK ครับ

  • การปรับแต่งระบบรายงานข้อผิดพลาดหรือ Error Reporting
    เป็นการกำหนดวิธีการรายงานข้อผิดพลาด ซึ่งไม่ค่อยได้ใช้งานอะไร ก็จัดการยกเลิกการทำงานส่วนนี้ซะเลย โดยทำการ คลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Advanced ที่ด้านล่าง ให้กดที่ปุ่ม Error Reporting จะได้ตามภาพ



    ทำการเลือกที่ช่อง Disable error reporting ตามภาพแล้วกด OK ครับ

  • ปิดการทำงานของ System Restore เพื่อไม่ให้เปลืองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์
    เป็นการปิดการทำงานของระบบ System Restore หรือระบบย้อนเวลากลับของ Windows เช่น ถ้าหากเรามีการติดตั้ง ซอฟต์แวร์ลงไปในเครื่อง แล้วเกิดเปลี่ยนใจหรือว่าซอฟต์แวร์ตัวนั้น ไปสร้างปัญหาให้กับระบบ เราก็สามารถย้อยเวลากลับไป ณวันที่หรือเวลาที่เราต้องการได้ แต่เนื่องจากการที่จะสามารถ ย้อนเวลากลับไปได้นั้น Windows จะต้องใช้พื้นที่บน ฮาร์ดดิสก์ ส่วนหนึ่ง ในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ด้วย ตรงนี้แหละครับที่เรียกว่า System Restore ซึ่งถ้าหาก ไม่ต้องการ ใช้งานระบบในส่วนนี้ ก็จัดการปิดการทำงานไปซะดีกว่าครับ โดยทำการ คลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก System Restore ตามภาพ



    ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ช่อง Turn off System Restore on all drive แล้วกด OK ครับ

  • การตั้งให้ปิดระบบการทำงานของ Auto Update ไปเลยดีกว่า
    เป็นการตั้งให้ระบบการอัพเดตไฟล์หรือ Patch ต่าง ๆ ผ่านทางเว็บไซต์ของ microsoft แบบอัตโนมัติไม่ทำงาน เนื่องจาก ถ้าหากมีการตั้ง Auto Update นี้ไว้ จะทำให้เมื่อเล่นอินเตอร์เน็ตแล้ว จะมีการเช็คหรือตรวจสอบอยู่บ่อย ๆ รวมถึงในบางครั้ง อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ Windows ต่อเน็ตเองด้วย ซึ่งหากเราต้องการที่จะทำการอัพเดตจริง ๆ ก็สามารถสั่งเองได้เช่นกัน โดยทำการ คลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Automatic Updates ตามภาพ



    เอาเครื่องหมายถูกหน้าช่อง Keep my computer up to date... ออกไปและกด OK ครับ

  • การปิดการทำงานของระบบ Remote Desktop
    เป็นการปิดการทำงานของการใช้งาน Remote Desktop หรือการทำ Remote จากเครืองคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ไปยังอีกเครื่องหนึ่ง โดยปกติเราจะไม่ได้มีการใช้งานส่วนนี้อยู่แล้ว ปิดไปเลยดีกว่าครับ โดยทำการ คลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Remote ตามภาพ



    เอาเครื่องหมายถูกออกไปให้หมดเหมือนภาพด้านบน และกดที่ปุ่ม OK ครับ


Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น

แบคกราวด์หรือวอลเปเปอร์ (Wallpaper) คือภาพที่เป็นพื้นของ Desktop ใน Windows นั่นเอง ซึ่งเราสามารถที่จะกำหนดสี หรือนำเอารูปภาพต่าง ๆ มาใส่ให้เป็นพื้นของ Desktop ของ Windows ได้ด้วย วิธีการก็จะมีหลากหลายรูปแบบ เช่นการตั้งให้ ภาพที่ต้องการเป็น Wallpaper จากซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่มีเมนูให้จัดการในส่วนนี้ได้ เช่น ACDSee หรือ Internet Explorer นอกจากนั้น เรายังสามารถทำการแก้ไขสีหรือรูปภาพ จากเมนูของ Control Panel ที่มีมากับ Windows ได้ด้วย มาดูตัวอย่าง ในแต่ละรูปแบบกันก่อน

การตั้งภาพ Wallpaper จาก Internet Explorer

หากใครใช้โปรแกรม Internet Explorer ในการท่องเว็บต่าง ๆ เมื่อไปพบกับรูปภาพสวย ๆ และต้องการที่จะนำเอารูปภาพนั้น มาตั้งให้เป็น Wallpaper ของหน้าจอ Windows สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการ กดปุ่มเมาส์ขวา ที่รูปภาพนั้นและเลือกที่เมนู Set as Wallpaper ตามรูปตัวอย่าง



เท่านี้ ภาพที่เลือกก็จะไปปรากฏอยู่บนหน้าจอของ Desktop แล้ว

การตั้งภาพ Wall Paper จากโปรแกรม ACDSee

โปรแกรม ACDSee เป็นโปรแกรมสำหรับใช้ดูรูปภาพต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ที่น่าใช้งานมาก ๆ ซึ่งก็จะมีเมนูของการตั้งภาพ ที่กำลังดูอยู่ขณะนั้น ให้เป็น Wallpaper ของ Desktop ได้ทันทีเหมือนกัน วิธีการก็ทำได้โดยใช้เมาส์ กดเลือกที่รูปภาพนั้นก่อน แล้วเลือกที่เมนู Tools



ใช้เมาส์กดเลือกที่ภาพที่ต้องการ และเลือกที่เมนู Tools เลือก Set Wallpaper และ Centered เพื่อทำการตั้งให้ภาพนั้นป็น Wallpaper ของหน้าจอ Desktop ตามต้องการ ซึ่งก็เป็นอีกวิธีหนึ่งครับ หากใครใช้โปรแกรม ACDSee อยู่

การตั้งภาพ Wallpaper จากหน้าของ Control Panel

ใน หน้าของ Control Panel จะมีเมนูให้สำหรับเลือกภาพที่ต้องการมาทำเป็น Wallpaper ได้ซึ่งนอกจากนี้ หากใครไม่ต้องการให้หน้าจอของ Desktop มีภาพต่าง ๆ ให้เกะกะสายตา ก็สามารถที่จะตั้งเป็น Pattern ต่าง ๆ แทนรูปภาพได้ด้วย วิธีการตั้ง ในอันดับแรกให้เรียก Control Panel ขึ้นมาก่อนโดยกดเลือกที่ Start menu >> Settings และเลือกที่ Control Panel เลือกที่เมนูของ Display ครับ



หน้าตาของเมนู Display ใน Control Panel จะเห็นเมนูของ Wallpaper ซึ่งจะมีรายชื่อของภาพต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วให้เลือก ใช้เมาส์กดเลือกที่ภาพตามต้องการได้เลย ซึ่งภาพเหล่านี้จะเก็บอยู่ใน C:\WINDOWS หรือหากต้องการกำหนดให้ใช้ภาพอื่น ๆ ของเราแทน ก็ให้กดที่เมนู Browse... เปลี่ยน Folder ไปยังตำแหน่งที่เก็บภาพไว้ และเลือกเปิดภาพที่ต้องการตั้งให้เป็น Background ตามต้องการได้ทันที

*** ภาพที่จะใช้ทำเป็น Wallpaper หรือ Background โดยวิธีนี้จะต้องแปลงให้เป็น .BMP ก่อนนะครับ พวกไฟล์รูปภาพแบบ .GIF หรือ .JPG จะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ วิธีการเปลี่ยนอาจจะใช้วิธีเปิดด้วยโปรแกรมตกแต่งภาพต่าง ๆ ก่อน เช่น Paint หรือ Photo Shop แล้วทำการ Save as โดยเลือกชนิดของไฟล์ให้เป็น .BMP แทนของเดิม ***

นอกจากนี้ ในช่อง Display จะมีให้เลือกว่าจะใช้เป็น Center (จัดให้ภาพนั้นอยู่กลางจอ), Tile (จัดให้ภาพเป็นแบบหลาย ๆ ภาพต่อ ๆ กันไปหากภาพไม่เต็มจอ) หรือ Stretch (จัดขนาดของภาพให้ย่อหรือขยายให้เต็มจอพอดี) ได้ด้วยก็ลองเลือก แบบที่คิดว่าสวยงามที่สุดตามสายตาของแต่ละคน

สำหรับใครที่ไม่ชอบให้ มีภาพต่าง ๆ ปรากฏอยู่บน Desktop ก็อาจจะไม่ใช้ภาพ Wallpaper แต่ไปเลือกใช้ Pattern แทนก็ได้ (หากมีการตั้งภาพ Background ไว้แล้วอาจจะมองไม่เห็น Pattern ได้เพราะจะโดนบังไปหมดแล้ว) ลองกดเข้าไปดูในเมนู Pattern ดูนะครับ



จะเห็นว่ามี Pattern ต่าง ๆ ให้เลือกอยู่แล้ว ก็ใช้เมาส์กดเลือก Pattern ที่ต้องการได้เลย หากท่านใดไม่พอใจรูปแบบของ Pattern ที่มีอยู่เดิม ก็สามารถทำการสร้าง Pattern เพิ่มเข้าไปใหม่ได้ด้วย โดยกดที่ Edit Pattern...



เมื่อเข้ามาที่เมนูของการ Edit Pattern ให้ตั้งชื่อของ Pattern ที่จะสร้างใหม่เช่นตัวอย่างจะตั้งชื่อเป็น newpattern จากนั้นก็ใช้เมาส์ทำการแก้ Pattern ตามต้องการจนพอใจ และกด Add เพื่อทำการเพิ่ม Pattern เท่านี้ก็จะได้รูปแบบหน้าตาของ Pattern ใหม่ ๆ ให้เลือกใช้งานแล้วครับ

คำแนะนำสำหรับการตั้งใช้งาน Wall Paper

ต้องขอเตือนกันไว้ก่อนตรงนี้เลยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่บอกกัน การที่เราตั้งใช้งาน Wall Paper ให้เป็นรูปภาพต่าง ๆ จะช่วยให้เกิดความสวยงามและน่าใช้งานของ Windows ขึ้นมามากก็จริง แต่มันจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เปลืองหน่วยความจำไปอีกค่อนข้างมากด้วย คือประมาณ 0.5-2 M. ทีเดียว ดังนั้นหากเครื่องใครมี RAM น้อย ๆ ก็ไม่ขอแนะนำให้ใช้รูปภาพ แต่จะขอแนะนำให้ใช้เป็น Pattern แทน (เช่นเครื่องที่ผมใช้งานอยู่ จะสร้าง Pattern เป็นรูปสีดำทั้งหมด และใช้เฉพาะ Pattern สีดำอันนี้ ซึ่งหน้าจอก็จะดูดำ ๆ สวยแปลกตาไปดีและยังไม่เปลือง หน่วยความจำของเครื่องอีกด้วย) อันนี้ก็พิจารณากันเอง ว่าใครจะใช้หรือชอบรูปแบบแบบไหนกัน ก็ลองเล่นกันดู หากไม่ชอบใจหรือไม่พอใจกับรูปภาพของ Wallpaper ก็สามารถจะยกเลิกโดยเข้าไปแก้ไขใหม่ได้ใน Control Panel ให้เป็น (None) ได้ตามวิธีการในตัวอย่างง่าย ๆ เองนะครับ

ที่มา Com-Th


Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

Screen Saver คือโปรแกรมสำหรับรักษาหน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อไม่มีการใช้งานนาน ๆ โดยหลักการทำงานคือ เมื่อไม่มีการกดคีย์บอร์ดหรือขยับเมาส์ นานตามระยะเวลาที่ตั้งไว้ โปรแกรม Screen Saver ก็จะเริ่มต้นทำงานโดยทำการ แสดงรูปภาพแบบต่าง ๆ เปลี่ยนไปมาเรื่อย ๆ ประโยชน์ที่เราจะได้รับคือ หน้าจอ จะมีการแสดงผลที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ไม่เกิดการทำงานที่ซ้ำ ๆ กัน ซึ่งปกติของหลอดจอภาพ ที่เมื่อมีการแสดงภาพเดิม ๆ ในตำแหน่งที่ซ้ำ ๆ กันนาน ๆ จะเกิดการเสื่อมของหลอดจอภาพ ซึ่งจะทำให้ภาพบนจอ เป็นรอยลาง ๆ ถ้าสังเกตุจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องเปิดทิ้งไว้นาน ๆ และเป็นหน้าจอเดิม ๆ จะเห็นได้ง่าย

ขอให้ทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่าโปรแกรม Screen Saver เหล่านี้จะช่วยให้จอมีการแสดงภาพเปลี่ยนไปมาเรื่อย ๆ เพื่อรักษาหน้าจอเท่านั้น ไม่ได้เป็นการพักเครื่องหรือพักการทำงานของ ซีพียู นะครับ ที่จริงแล้ว ซีพียู ยังคงจะต้องทำงาน อยู่เหมือนเดิม หรืออาจจะต้องทำงานมากกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ ดังนั้นก็พิจารณาความต้องการใช้งานก่อนด้วย

การเลือก Screen Saver จากหน้าของ Control Panel

ในหน้าของ Control Panel จะมีเมนูให้สำหรับเลือกโปรแกรมที่ต้องการมาทำเป็น Screen Saver วิธีการตั้ง ในอันดับแรก ให้เรียก Control Panel ขึ้นมาก่อนโดยกดเลือกที่ Start menu >> Settings และเลือกที่ Control Panel เลือกที่เมนูของ Display และ Screen Saver ครับ



หน้าตาของเมนูการเลือก Screen Saver โดยเราสามารถเลือก Screen Saver ตามต้องการได้ จะมีภาพตัวอย่างในแบบต่าง ๆ แสดงให้ดูด้านบนด้วย ในส่วนของเมนูอื่น ๆ ก็สามารถเลือกได้โดยหลัก ๆ มีดังนี้

Setting...
ใช้สำหรับการตั้งค่าต่าง ๆ ของโปรแกรม Screen Saver เช่นความเร็ว รูปแบบ ขนาด หรืออื่น ๆ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่โปรแกรมที่เรียกใช้งาน

Preview
ใช้สำหรับการดูตัวอย่างของ Screen Saver เมื่อทำงาน หลังจากที่กดช่อง Preview แล้ว เมื่อมีการกดคีย์บอร์ดหรือขยับเมาส์ หน้าจอก็จะกลับเข้ามาสู่เมนูปกตินี้

Wait: 5 minutes
เป็นการตั้งเวลาของ Screen Saver ว่าเมื่อไม่มีการกดคีย์บอร์ดหรือชยับเมาส์ นานเป็นเวลากี่นาที จึงจะสั่งให้ Screen Saver เริ่มต้นทำงาน เลือกได้ตามต้องการ

Password protected
เป็นช่องสำหรับให้เลือกตั้ง Password คือเมื่อ Screen Saver เริ่มต้นทำงานและมีการกดคีย์บอร์ดหรือขยับเมาส์ ก่อนที่ Windows จะกลับเข้ามาสู่การทำงานตามปกติ จะต้องใส่ Password ที่ตั้งไว้ให้ถูกต้อง จึงจะใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อไปได้

Settings...
เป็นการตั้งค่าของ Power Management ของระบบการแสดงผลและระบบการทำงานอื่น ๆ ลองกดเข้าไปดูรายละเอียดด้านใน ว่าสามารถตั้งอะไรได้บ้าง



หลัก ๆ ที่จำเป็นต้องใช้งานก็คือช่อง Turn off monitor: คือหากจอคอมพิวเตอร์ เป็นรุ่นใหม่ ๆ ที่รองรับระบบการจัดการเรื่อง Power Management ได้ เราสามารถตั้งเวลาให้เครื่องทำการดับจอภาพ ตามเวลาที่ตั้งไว้ได้ โดยการเลือกระยะเวลาที่ต้องการ ตัวอย่างการตั้งค่า เช่น ตั้งเวลาในหน้าของ Screen Saver เป็น 5 นาทีเมื่อไม่มีการทำงานหรือขยับเมาส์ และหลังจากนั้น ก็มาตั้งเวลาเป็น 20 นาที หากยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ก็จะทำการดับจอภาพไปเลย ซึ่งจะเป็นการช่วยรักษาจอภาพ ให้มีอายุการใช้งานให้นานขึ้นอีก สำหรับผู้ที่ชอบเปิดเครื่องทิ้งไว้บ่อย ๆ

นอกจากนี้ ยังจะเห็นเมนู Turn off hard disks: ด้วยซึ่งจะเป็นการตั้งเวลาให้ระบบ ทำการหยุดการทำงานของฮาร์ดดิสก์ เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ ตรงนี้อาจจะช่วยทำให้ ฮาร์ดดิสก์ ทำงานน้อยลงได้บ้างแต่จะต้องใช้เวลาแป๊บนึง เมื่อฮาร์ดดิสก์ จะต้องมีการเริ่มต้นทำงานใหม่ ถ้าหากตั้งไว้เร็วเกินไปก็อาจจะรู้สึกขัด ๆ ได้ครับ ขอแนะนำให้ตั้งไว้นาน ๆ เช่น 1 หรือ 2 ชม. หลังจากที่ตั้งค่าต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วก็กด OK ได้เลย

การติดตั้ง Screen Saver ใหม่ ๆ เพิ่มเติม

บางครั้ง หากไปพบเห็นโปรแกรม Screen Saver ใหม่ ๆ จากอินเตอร์เน็ต ก็สามารถที่จะทำการ ดาวน์โหลดมาทำการติดตั้ง ได้แบบง่าย ๆ โดยโปรแกรม Screen Saver ส่วนใหญ่จะมีชื่อนามสกุลของไฟล์เป็น .scr ให้ทำการ copy ไฟล์นั้นไปเก็บไว้ใน Folder ที่ชื่อ C:\WINDOWS\SYSTEM หลังจากนั้น เมื่อเข้ามาดูในเมนูของการเลือก Screen Saver จะเห็นรายชื่อเพิ่มเติมเข้ามาให้เลือกใช้งานได้

คำแนะนำเพิ่มเติมของผมนะครับ คือหากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน มีหน่วยความจำน้อย ๆ ก็ไม่ควรจะตั้ง โปรแกรม พวกนี้ไว้นะครับ เพราะจะเป็นการเปลืองหน่วยความจำไปอีกส่วนหนึ่ง หากต้องการรักษาหน้าจอ ให้ทำการตั้งแค่ Turn off monitor ตามระยะเวลาที่ตั้งไว้ก็พอแล้วครับ

ที่มา Com-th

Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

โหลดหนัง (Movie, Clip) มาแล้วดูไม่ได้!!! ช่วยด้วย!!!!

สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ใช้งาน Computer กันทุกวันนี้ไม่ทราบว่าใครเคยเจอปัญหานี้กันไม๊ครับ (ผมว่าบางคนถึงกับเคยตั้งกระทู้ถามใน Web Board เลยล่ะกัน) สำหรับผมเมื่อก่อนเจอบ่อยเลยครับ โหลดหนัง หรือ Clip ต่างๆ มาจาก Internet หรือ เอามาจากเพื่อนแล้วดูไม่ได้

สาเหตุสำคัญของปัญหานี้ ก็คือ ปัจจุบันนี้ในเรื่องของการเข้ารหัสแบบอัดไฟล์นั้นมีหลายมาตรฐานเหลือเกินครับ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการบีบอัดไฟล์ได้ที่ Wikipedia นะครับ (ภาษาอังกฤษนะครับ) ซึ่งการบีบอัดไฟล์เหล่านี้แหล่ะ ที่ทำให้เกิดปัญหาที่หลายๆคนเจอกันคือ เอามาแล้วเปิดด้วย Windows Media Player ไม่ได้ (ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นไหนก็ตาม) นั่นก็เพราะว่า Windows Media Player นั้นจะให้ตัวถอดรหัสมาเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น File นามสกุลแปลกๆ บาง File จึงไม่สามารถเล่นได้ (อย่างเช่น .3GP, .rm, .rmvb, .mov, .MP4, .Mpeg, .ogg, .FLV ฯลฯ เห็นไม๊ล่ะครับ เยอะจริงๆ)

ทีนี้ บางคนก็จะบอกว่า "อ้าว File ที่ผมได้มาก็เป็น File มาตรฐานของ Windows Media Player คือ .avi เหมือนกัน แล้วทำไมถึงเล่นไม่ได้ล่ะครับ"

นั่นก็เพราะว่า File เหล่านั้น ไม่ได้มีการเข้ารหัสแบบ .avi ตรงๆ ไงล่ะครับ ไฟล์เหล่านั้นมักจะมีการเข้ารหัสในรูปแบบของ DivX (หรืออย่างอื่น) เอาไว้ ซึ่งจะทำให้ Windows Media Player ไม่สามารถเล่น File นั้นได้ ดังนั้น คุณจึงต้อง Download ตัวถอดรหัส มาติดตั้งลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณก่อนไงล่ะครับ

ทีนี้ ก็เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไม๊ล่ะครับ ว่าเราจะไปหา Codec หรือตัวถอดรหัส เหล่านั้นจากที่ไหนได้บ้าง?

สำหรับผมแล้ว ผมมักจะมาหาเอาที่นี่ครับ Free Codec หรือ http://www.free-codecs.com/ ครับ ส่วนสาเหตุน่ะหรือครับ ก็ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วไงครับ ว่าฟรี ถูกแล้วครับ ตัวถอดรหัสที่เว็บนี้เค้าแจกฟรีครับ และ สามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายใดๆทั้งสิ้นครับ

แต่ที่ผมอยากจะแนะนำคือ แนะนำให้ใช้ตัวถอดรหัสที่ชื่อว่า K-Lite ครับ หรือ จะไป Download จาก Free Codec ก็ได้เลยครับ ไม่ว่ากัน ซึ่งจะมี 2 เวอร์ชั่นครับ คือเวอร์ชั่น Standard และ เวอร์ชั่น Mega ใครชอบแบบไหนก็ โหลดกันได้เลยครับ สำหรับรายละเอียดนั้น ลองไปศึกษากันดูนะครับ ไม่ยากครับ ^_^

ข้อดีของ Codec ตระกูล K-Lite ก็คือ มันได้รวบรวม ตัวถอดรหัสไว้เยอะมากๆเลยครับ คุณ Download มาชุดเดียว ก็ได้เกือบครบทุกตัวแล้วล่ะครับ และ หากคุณต้องการที่จะเล่น File ต่างๆให้ได้แน่นอน 99.99% แล้วล่ะก็ ผมขอแนะนำโปรแกรมเล่น File ที่ชื่อว่า Gom Player ครับ สำหรับข้อมูลเพิ่มตามหาได้ที่นี่ครับ "GOM Player โปรแกรมดูหนังฟังเพลง ที่ไม่ธรรมดา"


ที่มา
Wikipedia
Free-Codec
Gomplayer


Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550 2 ความคิดเห็น


Jimmy Wales

สมัยนี้หากใครที่ใช้อินเทอร์เน็ตบ่อยๆ แต่บอกว่าไม่รู้จักเวบไซต์สารานุกรมเสรีที่ชื่อ 'วิกิพีเดีย' ก็คงต้องเอาหน้ามุดแผ่นดินกันเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าความรู้ประเภทไหนก็สามารถหาได้ในวิกิพีเดีย และถ้าลองค้นหาข้อมูลอะไรก็ตามในกูเกิล บทความของวิกิพีเดียก็มักจะติดอันดับต้นๆ เสมอ

หลายคนอาจถามว่าที่นี่มีดีอะไร แล้วข้อมูลต่างๆ น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะด้วยระบบของวิกิพีเดียที่เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถเข้าไปเขียน แก้ไข ปรับปรุง หรือเพิ่มเติมบทความของตัวเองและผู้อื่นได้ ทำให้เกิดความเคลือบแคลงว่า "ใครๆ ก็เขียนสารานุกรมได้ แล้วอย่างนี้ข้อมูลจะน่าเชื่อถือได้อย่างไร" รวมถึงอาจมีการกลั่นแกล้งต่างๆ เช่น การแก้บทความกันไปมา การใส่ข้อมูลเท็จ การเซ็นเซอร์บทความ เป็นต้น

เป็นโอกาสที่ดีที่ จิมมี เวลส์ ผู้ก่อตั้งวิกิพีเดีย ได้เดินทางมาปาฐกถาในงาน ICT Expo 2007 ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้ข้อสงสัยต่างๆ ข้างต้นที่อาจจะค้างคาใจใครหลายคนมานาน ได้รับการ 'ปลดล็อก' เสียที

"ไม่มีหรอกครับเรื่องเซ็นเซอร์ จะมีก็แต่การประเมินของกองบรรณาธิการ ซึ่งเรามีกระบวนการที่เปิดโอกาสให้คนได้ถกเถียงกันว่า บทความต่างๆ ที่คนเขียนมานั้นสมควรได้รับการเผยแพร่หรือไม่ เพราะบทความที่ดีจริงๆ ในวิกิพีเดียประกอบด้วย 2 ปัจจัยคือ หนึ่ง-เขียนได้ดี และสอง-มีแหล่งที่มาอ้างอิงได้ บางคนเขียนมาโดยไม่มีแหล่งอ้างอิง กองบรรณาธิการก็ต้องลบทิ้ง ซึ่งบางคนอาจเรียกว่านั่นคือการเซ็นเซอร์ แต่ผมเรียกว่าเป็นการประเมินของกองบรรณาธิการ"

เวลส์ เล่าต่อว่า ที่ผ่านมาสารานุกรมออนไลน์ของเขาพยายามให้มีบทความดีๆ แต่แน่นอนว่า ยังทำไม่ได้ทั้งหมด บ่อยครั้งจึงมีคนพูดว่า เรื่องนี้จริงหรือเปล่า น่าเชื่อถือหรือไม่ โดยส่วนตัวคิดว่า ปล่อยให้เป็นกระบวนการเรียนรู้ของคนที่ใช้วิกิพีเดียเองจะดีกว่า แต่ละคนจะได้เรียนรู้ว่าเรื่องไหนน่าเชื่อถือและเรื่องไหนควรได้รับการแก้ไขหรือปรับปรุง

"ส่วนการแก้บทความกันไปมาระหว่างผู้เขียน 2 คน ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่เราก็มีกฎเกณฑ์ที่ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามแก้บทความกลับไปเป็นเหมือนเดิมถึง 3 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าคุณละเมิดกฎนี้ก็จะถูกแบนจากวิกิพีเดียเป็นเวลา 24 ชั่วโมง"

แม้เวลส์จะยืนยันว่าไม่มีการเซ็นเซอร์ในวิกิพีเดียอย่างแน่นอน แต่บนโลกออนไลน์ก็ยังมีเวบไซต์ที่ออกมาโจมตีวิกิพีเดียว่า ข้อมูลต่างๆ และบทความในวิกิพีเดียไม่มีความน่าเชื่อถือ ลำเอียง หรือแม้กระทั่งไม่เป็นความจริงด้วยซ้ำ

"เวลาเวบไซต์ไหนดัง ก็มักจะมีเรื่อง (การโจมตี) ทำนองนี้อยู่เสมอ แต่ก็อย่างที่บอกครับ ถ้าบทความใดมีคุณภาพ ก็จะมีการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ใครจะโจมตีหรือวิจารณ์อะไรก็ไม่ว่ากัน เพราะผมก็บอกได้ว่า นี่ไงล่ะ...ข้อมูลอ้างอิง ซึ่งผู้อ่านก็แค่เลื่อนหน้าเวบลงไปด้านล่าง แล้วคลิกที่ข้อมูลอ้างอิงเพื่อเช็คกลับไปที่ต้นตอว่าข้อมูลความรู้เหล่านั้นมาจากที่ไหน อาจจะมาจากในอินเทอร์เน็ตหรือในหนังสือก็ได้ แต่คุณก็สามารถเช็คได้ด้วยตัวคุณเอง"

และนี่เป็นเหตุผลที่ว่าใครก็ตามสามารถเขียนบทความในวิกิพีเดียได้ ไม่ว่าจะจบ ป.4 หรือปริญญาเอก เพียงแต่ผู้เขียนต้องอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล ไม่ใช่เขียนขึ้นมาลอยๆ แต่ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ทำให้บางคนวิพากษ์วิจารณ์เวลส์ว่าเขาเป็นพวกต่อต้านหัวกะทิ หรือ Anti-Elitist

"บางคนเรียกผมหรือวิกิพีเดียว่าอย่างนั้น แต่เราไม่ใช่พวกต่อต้านหัวกะทิหรอกครับ เพราะเราถือว่าเราเป็นพวกหัวกะทิเองนั่นแหละ แต่เป็นหัวกะทิในแบบของเราเอง ถ้าจะเป็นพวกต่อต้านอะไรบางอย่าง ผมก็อาจจะเป็นพวกต่อต้านคนจบปริญญามากกว่า อย่างเช่นถ้าคุณจะมาเอาชนะการถกเถียงหรือข้อโต้แย้งใดๆ ด้วยการบอกว่าคุณจบปริญญาเอกนะ ผมว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ ถูกต้อง คุณอาจจะรู้ในบางเรื่อง แต่ยังไงช่วยอ้างอิงที่มาของสิ่งที่คุณรู้ด้วยนะ (หัวเราะ)"

"วิกิพีเดียเป็นสังคมเปิดครับ ทุกคนสามารถแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน แม้จะมาจากต่างสัญชาติ ต่างวัฒนธรรมกันก็ตาม คนส่วนใหญ่ในนั้นก็มักจะชื่นชมและนับถือคนที่รู้จริงในสิ่งที่เขียน แต่ถ้าใครไม่รู้จริง ผมกล้าพูดได้เลยว่า เขาคนนั้นก็ไม่ควรที่จะมาเขียนสารานุกรม"

การเป็นคนตรงไปตรงมาของเวลส์ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนรู้สึกไม่พอใจหรือหมั่นไส้ในตัวเขา แม้กระทั่งการสร้างวิกิพีเดียภายใต้การดำเนินงานแบบมูลนิธิ ก็สร้างความประหลาดใจให้แก่ใครหลายคนพอสมควร เพราะจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกขณะนี้ที่มีอยู่ประมาณพันล้านคน สามารถสร้างรายได้ให้วิกิพีเดียได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

"ในช่วงที่ผมเริ่มก่อตั้งเวบไซต์นี้ เป็นช่วงที่เกิดวิกฤติของธุรกิจดอทคอม เวลานั้นตลาดหุ้น NASDAQ ร่วงลงอย่างมาก ไม่มีใครอยากลงทุนในธุรกิจประเภทนี้อีก แต่ผมก็ลงทุนด้วยเงินตัวเองทั้งหมด โดยคิดแต่เพียงว่าจะทำเป็นงานอดิเรกเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะทำเป็นธุรกิจเลย"

งานอดิเรก...กำเนิดสารานุกรมเสรี

ใครจะรู้ว่าความคิดแรกของการสร้างสารานุกรมเสรีที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้ จะเริ่มจากสิ่งที่เป็น hobby ของเวลส์เท่านั้น เพราะถ้าว่ากันตามจริงแล้ว เวลส์ก็ไม่ได้อยู่ในแวดวงไซเบอร์มาก่อนด้วยซ้ำ เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านการเงิน และวนเวียนอยู่ในแวดวงการเงินและตลาดหุ้นเป็นหลัก โดยในระหว่างที่ทำงานอยู่นั้นก็เรียนต่อปริญญาโทและเอกด้านการเงินไปด้วย

"ในช่วงที่ผมเรียนปริญญาเอกอยู่นั้น เป็นจังหวะที่ Netscape เพิ่งเข้าตลาดหุ้น และไม่นานมันก็มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นถึง 4,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ผมแทบช็อกเลยทีเดียว มันบ้าเอามากๆ เหลือเชื่อจริงๆ และนั่นก็จุดประกายให้ผมเริ่มหันมาสนใจโลกแห่งอินเทอร์เน็ตมากขึ้น"

ความสนใจด้านอินเทอร์เน็ตของเวลส์นั้น มีมากกว่าที่หลายคนคาดคิด เขาถึงกับเปลี่ยนใจไม่ส่งวิทยานิพนธ์เอาดื้อๆ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่จบดอกเตอร์ในที่สุด แต่เวลส์บอกว่าเหตุผลที่เขาไม่ส่งวิทยานิพนธ์ก็เพราะเขาแค่เบื่อกับการเรียนปริญญาเอกเท่านั้นเอง

"ผมเบื่อมากๆ เลย แล้วที่จริงผมก็ยังสนุกกับงานที่ทำอยู่ในขณะนั้นด้วย ประกอบกับสนใจทำโครงการเวบไซต์เล็กๆ ที่เกี่ยวกับความรู้เสรีเท่านั้นเอง"

เวลส์พูดถึงเวบไซต์ที่ชื่อ 'นูพีเดีย' (Nupedia) ซึ่งเป็นสารานุกรมเสรีที่ให้ผู้ใช้เข้าไปเขียน ปรับปรุง และแก้ไขบทความกันเอง โดยมีวิกิพีเดียเป็นเวบไซต์รองรับบทความเบื้องต้น จากนั้นจึงค่อยส่งเรื่องที่สมบูรณ์แล้วไปเผยแพร่ในนูพีเดีย แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นาน วิกิพีเดียกลับโตเร็วแซงหน้านูพีเดียเสียอีก เวลส์จึงหันมาพัฒนาวิกิพีเดียแทน

"ผมพบว่าคนสนใจเข้ามาเขียนบทความกันมากขึ้น โดยไม่แบ่งแยกสัญชาติและวัฒนธรรม ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก และมันจะไม่มีทางเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ถ้าผมทำเป็นธุรกิจ เพราะที่ผ่านมาเราสามารถตัดสินใจทำโครงการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกำไรสุทธิ แต่ถึงยังไง ผมก็ยอมรับว่าการที่วิกิพีเดียดำเนินงานภายใต้มูลนิธิก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เนื่องจากเรามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ และค่าเซิร์ฟเวอร์ที่เรามีอยู่ถึง 4 แห่ง ซึ่งถ้าเรามีเงินมากกว่านี้ หรือมีรายได้ดีอย่างกูเกิล เราสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเยอะเลย แต่ถามว่าถึงขั้นขัดสนหรือไม่ ไม่เลยครับ เราใช้วิธีการรับบริจาค ซึ่งทำบ้างเป็นบางครั้ง และก็มีคนบริจาคให้เราเสมอ"

ความโด่งดังของวิกิพีเดีย ข้อมูลความรู้อันมากมาย และการดำเนินงานภายใต้องค์กรการกุศลเช่นนี้ บางคนก็อดคิดดีใจไม่ได้ว่า ถ้าอย่างนั้นในอนาคตเราคงหาความรู้ได้ฟรีๆ ในวิกิพีเดีย โดยไม่ต้องไปหาซื้อหนังสือมาอ่านเลยล่ะสิ หรือว่า amazon.com คงจะต้องเจ๊งแน่ๆ ใช่ไหม

"ไม่หรอกครับ ผมไม่คิดว่าในอนาคตความรู้ทุกอย่างจะเป็นของฟรี สำหรับความรู้ทั่วไปอาจจะฟรี หรือมีราคาถูกมากๆ แต่ถ้าเป็นความรู้เฉพาะทางก็คงไม่ฟรี เทคโนโลยีจะเป็นตัวทำให้ความรู้มีราคาถูกลงหรือกลายเป็นของฟรีไปเลย อย่างในวิกิพีเดียเป็นต้น แต่ถ้าคุณอยากจะอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็คงหาไม่ได้ในวิกิพีเดีย ผมคิดว่ายังไงคนก็คงซื้อหนังสืออ่าน แต่หนังสือก็มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้ามันมีราคาแพงเกินไป คนก็จะก๊อบปี้ไปแจกจ่ายกันในอินเทอร์เน็ตแทน ถึงแม้การอ่านบนหนังสือจริงๆ จะรู้สึกดีกว่าการอ่านบนจอคอมพิวเตอร์หลายเท่าก็ตาม"

วิกิพีเดียทำให้อินเทอร์เน็ตในวันนี้กลายเป็นโลกเสรีมากยิ่งขึ้น ความรู้ทุกอย่างถูกเผยแพร่ถึงกันอย่างไร้พรมแดนและไร้ราคา แม้เวลส์จะบอกว่าในอนาคตเรายังต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อแลกความรู้บางอย่างมา แต่เขาอาจลืมนึกถึงพฤติกรรมศาสตร์ของคนใช้อินเทอร์เน็ตไปอย่างหนึ่ง

นั่นก็คือคนส่วนใหญ่ยังคิดเสมอว่าทุกอย่างบนโลกไซเบอร์นั้น...เป็นของฟรี

บารมี นวนพรัตน์สกุล baramee@sukiflix.com
27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550



ข้อมูลเพิ่มเติม Jimmy Wales, WikiPedia, NuPedia

Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น


GOM Player หรือชื่อเต็มคือ (Gretech Online Movie Player) เป็นโปรแกรมเล่น File Media ต่างๆ ที่ทำออกมาเพื่อการแจกฟรี โดยเฉพาะ ทีสำคัญ มันสามารพเล่น File หนังได้เกือบทุกนามสกุล อันนี้แหล่ะครับ ที่ว่าเจ๋ง!!! และโปรแกรมนี้ใช้งานง่ายกว่า Media Player ของ Microsoft และ เรียกขึ้นมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วเสียด้วย

นอกจากนี้ GOM Player ยังสามารถเปลี่ยน Skin ได้ด้วยทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องจำเจกับรูปแบบเดิมๆ หน้าตาเดิมๆของโปรแกรมครับ และนอกจากนี้ GOM Player ยังมีรางวัล ที่น่าสนใจอีก 2 รางวัลมา การันตีเสียด้วย




ปัจจุบัน (ณ. วันที่เขียนบทความ) Gom Player ออกมาถึงเวอร์ชั่น 2.1.8.3683 แล้วครับ ซึ่ง เวอร์ชั่นนี้นั้นแตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อนๆดังนี้

GOM Player 2.1.8.3683 is released. This is a major update and it is available using GOM Player's auto update now. It should also be available from download.com shortly.

It is strongly advised that you upgrade to this version. All previous versions have a known buffer overflow vulnerability.

The following changes are made.
  • bug fix: buffer overflow
  • new feature: delete files from Easy Browser using DELETE key
  • new feature: option to automatically sort files when you add a file to playlist
  • bug fix: properly plays MP4(AVC1) files made by certain programs
  • new feature: option to recursively add all files under a directory on playlist
  • new feature: option to pause when minimized
  • bug fix: playback for certain video types
  • new feature: option to sort by directory name on playlist
  • new feature: black list filter
  • new feature: option to maintain the new play speed
  • bug fix: properly finds keyframe when seeking
  • supports Bluetooth multimedia keys
  • supports FLV4 video codec
  • new feature: audio sync control
  • better recognition of TS files
  • other minor fixes/updates
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GOM Player 2.1.8.3683 Released ,

ทีนี้ เราก็สามารถแย้งประโยคที่มักบอกว่า ของฟรี และ ดี ไม่มีในโลกได้แล้ว ฮ่าๆๆๆ
------------------------------------------------------

ที่มา Wikipedia, GOM Player

Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

โดยสัปดาห์นี้จะเป็นเรื่อง 6 สัญญาณอันตราย ฮาร์ดดิสก์ใกล้ตาย ว่ากันว่าผู้ใช้บางท่านรู้สึกแย่มากๆ ที่อยู่ดีๆ ฮาร์ดดิสก์สุดที่รักก็จากไปอย่างไม่หวนคืน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นมันมีสัญญาณเตือนให้ทราบอยู่ตลอดเวลา แต่ก็หาได้สังเกตไม่ ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีนิสัยรักการแบ็คอัพ ประเภทรักเดียวใจเดียวไม่สำรองข้อมูลไว้ที่อื่นกันบ้างเลย ประเด็นที่อยากจะเตือนผู้ใช้ก็คือ อย่ามั่นใจเทคโนโลยีมากเกินไป ควรสังเกตสังกามันบ้าง ต่อไปนี้คือ ลางบอกเหตุสำหรับฮาร์ดดิสก์ที่ใกล้ตาย ซึ่งมีอยู่ 6 ข้อด้วยกัน อ่านทิปนี้จบแล้วลองพิจารณาดูด้วยนะครับว่า ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้อยู่มีอาการตามนี้บ้าง หรือไม่
  1. LED แสดงสถานะการทำงานของฮาร์ดดิสก์ไม่ยอมดับ แม้มันจะฟังดูเกินเหตุ เนื่องจากบางทีมันอาจจะมาจาก LED มีปัญหาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว การที่ LED แสดงสถานะการทำงานของฮาร์ดดิสก์สว่างอยู่ ตลอดเวลา ค่อนข้างจะชัดเจนว่า มันมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะการทำงานของฮาร์ดดิสก์ และยิ่งปล่อยเนิ่นนานไป ปัญหาจะลุกลามไปจนแก้ไม่ได้ในที่สุด

  2. ฮาร์ดดิสก์ใช้เวลานานกว่าจะพร้อมทำงาน ฮาร์ดดิสก์ของคุณใช้เวลาในการบู๊ตนานเกินไป หรือเปล่า? จริงอยู่ที่มันอาจจากการที่ต้องโหลดโปรแกรมเริ่มต้นการทำงานหลายตัว แต่ถึงนั้นก็เถอะ ถ้ามันใช้เวลาเกินกว่าสองนาทีก็ถือว่า มีพิรุธแล้ว เพราะนั่นอาจเกิดจากการอ่าน หรือเขียนข้อความที่ผิดพลาดบนฮาร์ดดิสก์อยู่ก็ได้

  3. ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถหา File Table ได้ ถ้าฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถหา Windows Master File Table (MFT) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังเกิดการล่มของการทำงานอย่างไม่คาดฝัน กรณีนี้แทบจะเรียกได้ว่า ฮาร์ดดิสก์ของคุณเข้าขั้นโคม่าเต็มทีแล้ว

  4. CHKDSK แสดงเซคเตอร์เสีย (bad sector) Bad sector คือความจริงของชีวิต การที่ยูทิลิตี้แสดงว่า ฮาร์ดดิสก์ของคุณมี bad sector นั่นหมายความว่า ความเสื่อมสภาพกำลังคืบคลานเข้ามาสู่ฮาร์ดดิสก์ของคุณทีละก้าวๆ แม้มันจะช้ามาก แต่เป็นสัญญาณเตือนที่คอยบอกคุณว่า ความหายนะกำลังใกล้เข้ามาเยือนฮาร์ดดิสก์ของคุณแล้ว

  5. ฮาร์ดดิสก์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ปกติฮาร์ดดิสก์เวลาทำงานจะอุ่นๆ อยู่แล้ว แต่ถ้ามันร้อนมากจนรู้สึกได้ บางครั้งมีกลิ่นออกมาเลย ถ้ามีอาการเช่นนี้ก็เตรียมทำพิธีได้เลย ฮาร์ดดิสก์ของคุณใกล้ตายเต็มทีแล้ว

  6. ประวัติของฮาร์ดดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ที่เคยตกบนพื้นแข็ง (ขณะที่มันยังคงทำอยู่ หรือไม่ก็ตาม) หรือได้รับความร้อนมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อฮาร์ดดิสก์ได้รับการติดตั้งไว้ใกล้กับพัดลมระบายความร้อนซีพียู หรือพัดลมเสีย ซึ่งทั้งสองกรณีทำให้ความร้อนภายในสูงขึ้น ความร้อนนี้จะส่งผลให้ฮาร์ดดิสก์เริ่มมีอาการเอ๋อ อย่างเช่น มีปัญหาในการอ่าน หรือเขียนไฟล์ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ อายุของฮาร์ดดิสก์จะสั้นลงอย่างไม่ต้องสงสัย และหากฮาร์ดดิสก์มีประวัติทำนองนี้อยู่ล่ะก็ อายุของมันไม่ยืดแน่นอนครับ


Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

Windows XP มีโปรแกรมซ่อนอยู่ตั้ง 23 โปรแกรม ซึ่งถ้าเราไม่รู้จักมันมาจากการที่จำเป็นต้องใช้มันนั้น เราจะไม่มีทางได้ใช้มันเลย เพราะบางโปรแกรม มันไม่อยู่ใน StartMenu ให้เรากด บางโปรแกรมถึงติดตั้งมาโดยที่เอาออกไม่ได้ บางโปรแกรมเป็นโปรแกรมที่มาจากวินโดว์รุ่นก่อน (ทั้งๆที่ XP ก็มีโปรแกรมนั้นแล้ว) มาดูกันว่า 23 โปรแกรมนั้นมีอะไรบ้าง

วิธีการใช้ก็เข้าที่ Start -> Run -> พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้
  1. charmap.exe = Character Map (มีประโยชน์มากสำหรับใช้พิมพ์อักขระพิเศษ)

  2. cleanmgr.exe = Disk Cleanup (เอาไว้ทำความสะอาดหรือ Clear พื้นที่)

  3. clipbrd.exe = Clipboard Viewer (ดูข้อมูล ในคลิปบอร์ด)

  4. drwtsn32.exe = Dr Watson (โปรแกรมที่ใช้ตัวสอบว่าวินโดว์มีปัญหาเพราะอะไร)

  5. dxdiag.exe = DirectX diagnosis (โปรแกรมตรวจสอบอุปกรณ์ว่า สนับสนุน DirectX หรือไม่และแสดงรายชื่อไฟล์ที่เกี่ยวข้อง)

  6. eudcedit.exe = Private character editor (โปรแกรมที่อนุญาตให้เราแก้ไขฟอนต์ หรือทำฟอนต์เองได้)

  7. iexpress.exe = IExpress Wizard (โปรแกรมที่สร้างไฟล์ Setup ของวินโดว์เอาไว้สำหรับคนที่เขียนโปรแกรมบนวินโดว์)

  8. mobsync.exe = Microsoft Synchronization Manager (โปรแกรมที่คอยเก็บหน้าเว็บ หรือไฟล์บนเครือข่าย เอาไว้ดูตอน offline ได้)

  9. mplay32.exe = Windows Media Player 5.1 (โอ้ Windows Media Player รุ่นคุณปู่)

  10. odbcad32.exe = ODBC Data Source Administrator (โปรแกรมไว้จัดการกับดาต้าเบต)

  11. packager.exe = Object Packager (โปรแกรมที่ใส่พวก Objects ต่างๆ ลงในไฟล์)

  12. perfmon.exe = System Monitor (โปรแกรมนี้ มีประโยชน์มาก ไว้ตัวสอบประสิทธิภาพของวินโดว์)

  13. progman.exe = Program Manager (เชลล์ไฟล์ของวินโดว์ 3.11)

  14. rasphone.exe = Remote Access phone book (โปรแกรมที่เอาไว้ ติดต่อหรือเข้าถึงข้อมูลของสมุดที่อยู่ในเครื่องอื่น)

  15. regedt32.exe = Registry Editor [เหมือนกับ regedit.exe] (ไว้ใช้สำหรับแก้ไข Registry ของวินโดว์)

  16. shrpubw.exe = Network shared folder wizard (สร้างแชร์โฟดเดอร์บนเครือข่าย)

  17. sigverif.exe = File siganture verification tool (โปรแกรมตรวจสอบ signature ของไฟล์)

  18. sndvol32.exe = Volume Contro (โปรแกรมไว้ปรับระดับเสียงไง อันเดียวกับรูปลำโพงตรง tray icon)

  19. sysedit.exe = System Configuration Editor (โปรแกรมแก้ไข system.ini กะ win.ini)

  20. syskey.exe = Syskey (Secures XP Account database – เป็นโปรแกรมที่ใช้ เข้ารหัส รหัสผ่านของวินโดว์ กรุณาใช้อย่างระมัดระวัง)

  21. telnet.exe = Microsoft Telnet Client (โปรแกรม telnet)

  22. verifier.exe = Driver Verifier Manager (โปรแกรมตรวจสอบ driver ต่างของวินโดว์ ใช้สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องไดร์เวอร์)

  23. winchat.exe = Windows for Workgroups Chat (โปรแกรม chat รุ่นคุณปู่ มีเฉพาะในวินโดว์ ตระกูล NT)
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ ไม่น้อยสำหรับ คนที่ เพิ่งรู้นะครับ(รวมถึงผมด้วย)


ที่มา :Newhandman จาก DVD Game Online

Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

  1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
  2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
  3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าส ุดแน่ๆ
  4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\\windows ของคุณ
  5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
  6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
  7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
  8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
  9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
  10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
  11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
  12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
  13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ \"con\" ได้
  14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
  15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
  16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
  17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
  18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
  19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
  20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ปัจจุบัน
  21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
  22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
  23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
  24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
  25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
  26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
  27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
  28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
  29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
  30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare


Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น

Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)

ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่างๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น

โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้นๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อนๆ หรือครอบครัวตนเอง

มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัว อย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ที่เจ้าของบล็อกจะเป็นคนที่ถนัดในด้านไหน ก็มักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น

และจุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนของบล็อกนั้นๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง

ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น

ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq

เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่างๆ หลายๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่างๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ

และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ที่สำคัญอย่างแท้จริง

สรุปให้ง่ายๆ สั้นๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเนื้อหาเป็นเหมือนบันทึกออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย


Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น

ใครที่คิดจะ Upgrade เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วงนี้ก็ ลองอ่านข่าวนี้ดูก่อนนะครับ

Introduction of new industry standard for monitoring and controlling PC peripherals

PC industry luminaries, including NVIDIA, Dell, HP, Alienware, Falcon Northwest, CoolerMaster, Thermaltake and others, today announced details of a new open, and royalty-free standard for the real-time monitoring and control of PC power supplies, chassis, and water-cooling systems. The Enthusiast System Architecture (ESA) specifies an information protocol that system components can use to “communicate” with each other to adjust operating parameters, and relay important system information back to the user.

By implementing ESA, PC manufacturers and do-ityourself enthusiasts can now build finely-tuned and higher performance PCs than they could have with existing proprietary solutions. “The industry-standard device communication protocol provided with ESA enables a rich set of tools for tuning PC hardware performance. These tools offer PC enthusiasts more flexible and granular control over primary system support components,” said Kevin Kettler, PhD, and CTO of Dell Inc. “For example, the ESA standard communication method is used in Dell’s unique LightFX architecture, and will help accelerate development of deeply immersive ambient lighting in PC games.”

The new ESA standard is built around the current USB HID class specification and is designed to support new monitoring and control capabilities for PC devices such as chassis, power supplies, and water and air cooling peripherals. Until the introduction of ESA, there was no standard communication protocol allowing such components to report information back to users. Essential data, such as temperature, thermal, voltage, and air flow attributes are made available in real-time and are critical to obtaining maximum PC performance and overclocking. With ESA, component manufacturers can now embed a wide variety of digital and analog sensors into their devices which can communicate real-time data for use in analysing and optimising overall PC operating conditions.

In addition, ESA’s logging functionality offers PC manufacturers and system builders an inexpensive and easy way to help identify PC operating abnormalities, and enable them to quickly identify and resolve customer support issues. “ESA is a communication protocol that ties together all the key aspects of a system,” said Rahul Sood, CTO of Global Gaming Business at HP. “Most significant to HP is the fact that we can potentially use ESA-enabled technology to create a unique and immediately noticeable benefit to our customers.”

Companies who have worked on the development of the ESA specification and deployment of ESA-compliant hardware include: Major PC OEMs: Dell and HP Major System Builders: Alienware, Falcon Northwest and Maingear Global Motherboard Providers: ASUS, EVGA, Gigabyte, MSI, and XFX Global PSU, Chassis, and Cooling Device Providers: CoolerMaster, CoolIT Systems, PC Power & Cooling, SilverStone, Tagan, Thermaltake, and Ultra Cross-device compatibility and compliance with the ESA specification will be handled by Allion, a leading IT testing organisation. Products that have passed the Allion certification process will incorporate the new ESA logo, providing consumers with a valuable tool in their purchasing decision.

The first ESA-compliant systems, motherboards, and components will be available starting in late November from various ESA-development partners.

อ่านจาก Unlimit PC

ที่มา VR-Zone

-------------------------

ที่แน่ๆ คราวนี้การเปลี่ยนมาตรฐาน Power Supply น่าจะเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร หลังจากที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายปีแล้ว

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น

สำหรับผู้ที่เขียน Blog บางครั้ง กำลังเขียน Blog มันๆ อยู่ แล้วเกิดอยากเน้นข้อความ หรือต้องทำอะไรสักอย่าง ไอ้ครั้นจะ ละมือจาก Keyboard ไปจับ Mouse นั้น บางครั้ง มันอาาจะทำให้ความต่อเนื่องในอารมณ์การเขียน อาจจะหยุดชะงักได้ วันนี้ ผมเลยอยาจะแนะนำ keyboard shortcuts ที่สามารถใช้ได้ใน Blog Spot ซึ่ง คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ

อ้อ สำหรับ keyboard shortcuts พวกนี้นั้น จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อใช้กับ Internet Explorer ตั้งแต่เวอร์ชั่น 5.5 ขึ้นไป หรือ Browser ตระกูล Mozilla ตั้งแต่เวอร์ชั่น 1.6 เป็นต้นไป และ ใช้กับ Firefox ตั้งแต่เวอร์ชั่น 0.9 เป็นต้นไปนะครับ ส่วน Browser อื่นยังไม่ได้ลอง ถ้าใครได้ลองแล้ว รบกวน Post บอกด้วยนะครับ ^_^

สำหรับ keyboard shortcuts ต่างๆมีดังนี้ครับ

  • control + b = Bold
  • control + i = Italic
  • control + l = Blockquote (when in HTML-mode only)
  • control + z = Undo
  • control + y = Redo
  • control + shift + a = Link
  • control + shift + p = Preview
  • control + d = Save as Draft
  • control + p = Publish Post
  • control + s = Autosave and keep editing
  • control + g = Hindi transliteration

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

This article describes the main features one should look while purchasing a notebook. Also it talks about the problem of hardware upgrade.

The single most important reason anyone buys a notebook is for portability. This is something that you can take anywhere. If you frequently travel in your work, you need a notebook. If you are a student going back and forth to the university, you need a notebook. If you are journalist traveling the world and submitting articles, you need a notebook. And today’s notebooks can be as powerful as most desktops with dual processors, large capacity internal drives, and other attractive features. But which one is right for you? How do you determine what type of notebook will fit your current needs plus allow you to expand for the future?

And the first part of the answer to the question of which one is right for you leads to a half-answer: “It depends.” It depends on what you are going to do with the computer. Are you going to use it for work or recreation? Is it something needed for your profession or are you a hobbyist? Do you play a lot of games? What level of internet access do you need? It is also important to remember that unlike desktop models, notebook computers cannot be upgraded easily. In fact, they usually have no upgrade path so you should take the time to get exactly what you need in terms of features and performance.

One characteristic of a notebook computer one should consider is the screen size. If you need to be able to have a lot of landscape for projects you are working on then consider a wider screen. Screen sizes usually can range from 10.4 inches to 17.1 inches. If you do a lot of work on an airliner in economy class, you are probably better off with a smaller screen size (because of the reclining seatbacks in front of you). Also a smaller notebook is just easier and lighter to carry around. Some who do presentations with their notebook computers will benefit from larger screen sizes such as those that use the newer WXGA technology. WXGA notebook screens can achieve resolutions up to 1366 by 768 pixels.

Battery life in your notebook computer is very important too. If you move around quite a bit, you might want to consider buying a notebook with not only a long lasting battery (most go 2-3 hours), but also one where buying a spare battery is not very expensive. One very inexpensive solution for the battery problem is to buy an external universal battery that can last up to 3-4 hours.

Another feature you need to consider when buying a notebook is internet connectivity. You will find that a popular way for people to work these days is with a wifi-enabled notebook at a wireless hotspot (such as in coffee shops, restaurants, libraries and airports). If you are buying an older used notebook, you may have to get an additional wifi-card if you want to have the mobile connectivity provided by this technology. Also, you will find that most hotels nowadays offer high-speed internet access but it is usually through a wifi connection.

And lastly, you need to consider what other options you want for your notebook computer. Do you want a CD writer or will you need to record DVDs? Do you need premium sound? How large of a disk drive do you need? When it comes to disk space, CD/DVD writers, sound cards, memory, and processor speed, it’s best to get it now as opposed to get it later. Here’s why: The upgrade path for most laptops and notebooks is not very long. This is because notebooks are probably replaced every 2-3 years. They are quick becoming just as expendable as a set of tires for your car. And if you do not maximize on memory and processor speed, your notebook may not able run efficiently the new application and game software. The more your notebook is adaptable to software upgrades, the longer it will be an effective tool for you.

This article is under GNU FDL license and can be distributed without any previous authorization from the author. However the author's name and all the URLs (links) mentioned in the article and biography must be kept.

This article can also be accessed in portuguese language from the News Article section of page http://www.polomercantil.com.br/notebook.php

Roberto Sedycias works as IT consultant for http://www.polomercantil.com.br

ที่มา : Article Hub

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น

A blog is an online version of diary where people write and display almost anything - their opinions, photos, jokes, thoughts for the day and more. People also share stories about their pets, their passion for soccer, stamps... the limit is only your imagination!

In the last few years, blogging has emerged to become a much more meaningful activity than simply maintaining a personal diary. People use it to advertise their products and services, in fact, quite a number of companies even create their online presence by using a blog instead of a website.

Create Your Own Blog

Starting a blog is free. You can create one at http://www.blogger.com - a free service from Google Inc. You don't need to register a domain name or buy hosting. When you sign up at Blogger, everything happens online. Your blog will be hosted by Blogger and you get an URL like http://yourdomain.blogspot.com. You simply log in to your account and start to write. This is much easier and cheaper than buying your own domain and hosting, then hiring someone to do the web design, writing and coding.

Another free blogging service available online is WordPress which is also very popular and easy to use. WordPress supports more features than Blogger while allowing you to customize your blog with various plug-in. You can check it out at http://wordpress.org.

Monetize Your Blog

While blogging for your own interest, you can in fact maximize the potential of your blog for many marketing or commercial purposes.

The quickest and easiest way to turn a blog into a money-making enterprise is to include advertising on your blog. This can be done with contextual ad programs like Adsense - an advertising program by Google. Basically, you get paid when people click on the ads displayed on your website or blog. Google Adsense program is free to sign up. You can visit http://www.google.com/adsense to learn more about the rules and guidelines of the program. Other Adsense type ads that you can use for blog monetizing are SearchFeed, AdBrite, and Yahoo's Publisher’s Network (YPN).

Affiliate program is another potential way to make money blogging. By focusing on the subject of your blog post, you can promote relevant products from cost per sale affiliate programs like ClickBank and Amazon. You can write a review about the product or service with your affiliate links embedded inside so you get the commission whenever a sale is made.

Boost Your Blog Traffic

Blogs are quickly indexed by search engines, but you need to update it regularly. Search engines love fresh content and regular update will ensure that your website is indexed and ranked high up as well. The higher up it appears, the more traffic will come to your site, which means more sales. You can actively participate in forums discussion or post comments on other blogs to get more link back traffic.

Whether you use your blog for fun or for work, remember that it’s a highly potential tool any which way. So what are you waiting for? Start blogging away right now!

by : Lewis Low
ที่มา : Article City

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

Internet has almost become a lifeline for the new generation. Many businesses now depend entirely on the Internet. People residing in different parts of world are able to talk to each other via the medium of Internet. Video conferencing is a live example of it. Many marriages are also made with the help of the Internet. The list of benefits that Internet provides is limitless.

But, what would you do when you have a slow speed internet connection that takes a lot of time? That internet connection would simply be useless to you.

The speed at which you are connected to the Internet plays a very important role in enjoying the advantages offered by it. For example, suppose one of your relatives who is residing overseas, has sent you a holiday clip. Now, if your Internet speed is slow then first of all it would take a long time to load the mail website. Then you would enter your user name and password. It would again take extra time to verify it. Also, downloading the clip would be very slow, even if its size is very small. Overall, you can say that having a low speed Internet connection (dial-up connection) is not a good thing.

There are many choices available for a high speed Internet connection. DSL, Cable and Satellite are some of them. You can select the best one from them. Here are some of the common benefits that all these high speed Internet connections provide.

* Viewing of streamlining clips or videos is very easy and fast in these connections. Dial-up connections may not even allow their access. * You can upload web pages and download any kind of information or software with more than twice the speed of dial-up connection. * Downloading of images and huge e-mail files can be done almost promptly. * High speed Internet connection has proven to be a boon for all businessmen. They can now access the world wide web within a few seconds. Their businesses have been highly benefited through efficient and quick video conferencing which would have been impossible in a slow dial-up connection. * For those people who work from home, a high speed Internet connection can assist them in increasing their overall work efficiency and output. * On a long term basis, the high speed Internet connection can prove to be highly economical.

DSL: The best choice for high speed internet connection Now-a-days, DSL has become the leading choice for a high speed Internet connection. DSL works on existing telephone lines. With a DSL connection you can browse the web and talk on the phone at the same time. Generally, a DSL connection requires a DSL router, a dedicated phone line and a network card or a modem for each system. The installation of DSL at your location is the responsibility of the service provider. Last but not the least, this high speed Internet connection is offered at very affordable prices.

by : Toh Poh

ที่มา : Article City

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

หากใครที่เป็นขา Download ไฟล์เพลงทั้งหลายแหล่ วันนี้ผมขอแนะนำ Search Engines สำหรับค้นหา และ Download ไฟล์เพลงโดยเฉพาะมาแนะนำกันครับ

หาสนใจ ก็ Click ตาม Link Song Hunting นี้ไปได้เลยครับ สำหรับ Web นี้นั้นสามารถหาได้ทั้งเพลงไทย และ เพลงต่างประเทศเลยครับ

สนใจ ก็อย่าพลาดครับ ลองเลย http://www.songhunting.com/

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

**** วิชามาร ใน Google ที่ให้ได้มาซึ่งทุกอย่าง ที่อยากดาวน์โหลด ในอินเตอร์เน็ต ****

วิชามาร ใน Google ที่ให้ได้มาซึ่งทุกอย่าง ที่อยากดาวน์โหลด ในอินเตอร์เน็ต คำแนะนำ คุณสามารถใช้วิธีนี้ ในการหาดาวน์โหลดโปรแกรม แคร็ก ซีดี คีย์ หรือต่างๆนานา ที่คุณอยากได้ แต่ผมขอแนะนำว่า คุณควรจะดาวน์โหลด มาเพื่อการทดลอง ทดสอบ หรือการศึกษาเท่านั้น

วิธีที่หนึ่ง

พิมพ์คำเหล่านี้ ใน Google Search
  1. " parent directory " /spectralab 4.3213/ -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
  2. " parent directory " DVDRip -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
  3. " parent directory " Xvid -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
  4. " parent directory " Gamez -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
  5. " parent directory " MP3 -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
  6. " parent directory " Name of Singer or album -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
หมายเหตุ ให้คุณเปลี่ยน คำที่ตามหลัง parent directory เช่น MP3 Gamez appz DVDRip เป็นสิ่งที่คุณอยากได้ แล้วก้อค้นหา คุณจะพบกับ ความมหัศจรรย์ใน Google


วิธีที่สอง

พิมพ์คำต่อไปนี้ใน Google

?intitle:index.of? mp3
จากนั้นแค่เพิ่มชื่อ เพลง อัลบั้ม นักร้อง ลงไป เช่น ?intitle:index.of? mp3 myfavoritesongs


วิธีที่สาม
พิมพ์คำต่อไปนี้ใน Google

inurl:micr0s0f filetype:iso

จากนั้น ก้อเปลี่ยน คำว่า micr0s0f กับคำว่า iso เป็นคำที่คุณต้องการ เช่น inurl:myc0mpany filetype:zip

------- เพิ่มเติม -------

  1. Google จะใช้ and (และ) อยู่ในประโยคเสมอ เช่น ค้นหา harvest moon back to nature Google จะค้นหาแบบ harvest AND moon AND back... (พูดง่ายๆคือค้นหาแบบแยกคำ)

  2. การใช้ OR (หรือ) คือการให้ Google หาข้อมูลมากขึ้นจาก คำA และ คำB (พูดง่ายๆ คือนำผลที่ได้ มารวมกันรวมกัน) วิธีใช้ พิมพ์ OR ด้วยตัวใหญ่ระหว่างคำที่ต้องการ เช่น vacation london OR paris คือหาทั้งใน London และ Paris

  3. Google จะละคำทั่วๆไป (เช่น the, to, of) และตัวอักษรเดี่ยว เพราะจะทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำพวกนั้นสามารถช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้น ก็ต้องใช้เครื่องหมาย + ช่วยโดยนำไปอยู่หน้าคำนั้น (ต้องเว้นวรรคก่อนด้วย) เช่น back +to nature หรือ final fantasy +x

  4. Google สามารถกันขอบเขตการค้นหาให้เล็กลงด้วยการใช้ Advanced Search หรือ การค้นหา แบบพิเศษ ใน Google ภาษาไทย

  5. Google สามารถตัดคำพ้องรูปได้โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วยโดยการนำไปอยู่คำที่จะตัด เช่น คำว่า bass มี 2 ความหมายคือ เกี่ยวกับปลา และดนตรีเราจะตัดที่มีความหมายเกี่ยวกับดนตรีออกโดยพ ิมพ์ bass -music หมายความว่า bass ที่ไม่มีคำว่า music นอกจากนี้มันยังสามารถตัดอย่างอื่นได้อีก เช่น "front mission 3" -filetype pdf หมายความว่า เรื่องเกี่ยวกับ front mission 3 แต่ไม่แสดงไฟล์ PDF

  6. การค้นหาแบบทั้งวลี (คือการค้นหาทั้งกลุ่มคำ) ให้ใช้เครื่องหมาย " " เช่น "Breath of fire IV"

  7. Google สามารถแปลเว็บภาษา Italian, French, Spanish, German, และ Portuguese เป็น ภาษาอังกฤษได้ (โดยคลิ้กที่คำว่า "Translate this page" ด้านข้างชื่อเว็บ)

  8. Google สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ HTML ได้ ประเภทไฟล์ที่รองรับคือ
    Adobe Portable Document Format (นามสกุลของไฟล์ pdf)
    Adobe PostScript (นามสกุลของไฟล์ ps)
    Lotus 1-2-3 (นามสกุลของไฟล์ wk1, wk2, wk3, wk4, wk5, wki, wks, wku)
    Lotus WordPro (นามสกุลของไฟล์ lwp)
    MacWrite (นามสกุลของไฟล์ mw)
    Microsoft Excel (นามสกุลของไฟล์ xls)
    Microsoft PowerPoint (นามสกุลของไฟล์ ppt)
    Microsoft Word (นามสกุลของไฟล์ doc)
    Microsoft Works (นามสกุลของไฟล์ wks, wps, wdb)
    Microsoft Write (นามสกุลของไฟล์ wri)
    Rich Text Format (นามสกุลของไฟล์ rtf)
    Text (นามสกุลของไฟล์ ans หรือ txt)

    วิธีใช้ filetype:นามสกุลของไฟล์ เช่น "Chrono Cross" filetype:pdf หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF และมันยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบของ HTML ได้ (โดยคลิ้ก View as HTML หรือ รูปแบบ HTML ใน Google ไทย)

  9. Google สามารถเก็บ Cached ของเว็บที่จะเข้าชมไว้ได้ (โดยคลิ้กที่ Cached หรือ ถูกเก็บไว้ ใน Google ภาษาไทย) ประโยชน์ของมันคือช่วยให้เราสามารถเข้าเว็บบางเว็บที ่อาจโดนลบไปแล้ว โดยข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลก่อนถูกลบ (ใหม่สุดที่มันจะมีได้)

  10. Google สามารถค้นหาหน้าที่คล้ายกัน (โดยคลิ้ก Similar pages หรือ หน้าที่คล้ายกัน ใน Google ภาษาไทย) โดยจะค้นหาข้อมูลที่คล้ายๆ กันให้เรา เช่น ถ้าเรากำลังหาข้อมูลการวิจัย ความสามารถนี้จะช่วยให้หาข้อมูลได้มากมายในเวลาที่รว ดเร็วโดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่อง keyword

  11. Google สามารถค้นหา link ทั้งหมดที่เชื่อมไปยังเว็บนั้นได้ วิธีใช้ link:ชื่อ URL เช่น link:www.google.com แต่คุณไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ร่วมกับการหาแบบอื่น ๆ ได้

  12. Google สามารถค้นหาเว็บที่จำเพาะเจาะจงได้ โดยพิมพ์ คำที่คุณต้องการเจาะจง site:ชื่อ URL เช่น ถ้าคุณต้องการหาเว็บเกี่ยวกับการเข้า (admission) มหาวิทยาลัย Stanford ให้พิมพ์ admission site:www.stanford.edu

  13. ถ้าคุณมีเวลาน้อย (และคิดว่าโชคดี) Google มีบริการการค้นหาด่วน (ชื่อบริการ I'm Feeling Lucky) โดยที่ Google จะนำเว็บที่อยู่ลำดับแรกของการค้นหา ส่งให้คุณเลย (link ไปเว็บนั้นให้เสร็จ) เช่น คุณต้องการค้นหาเว็บมหาวิทยาลัย Stanford อย่างด่วนให้พิมพ์ Stanford แล้วกด I'm Feeling Lucky หรือ ใช่เลย! เจอแน่ๆ ใน Google ไทย

  14. Google สามารถหาแผนที่ของสหรัฐอเมริกาได้โดยพิมพ์ ที่อยู่ ชื่อถนน พร้อมด้วยชื่อรัฐ เช่น 165 University Ave Palo Alto CA Google จะจัดการส่งแผนที่คุณภาพสูงมาให้คุณ

  15. Google สามารถหาเบอร์โทร (เฉพาะอเมริกา) หรือพิมพ์เบอร์โทรแล้วหาบริษัทได้โดยพิมพ์ first name (or first initial), last name, city (state is optional)
    first name (or first initial), last name, state
    first name (or first initial), last name, area code
    first name (or first initial), last name, zip code
    phone number, including area code
    last name, city, state
    last name, zip code
    แล้วแต่ว่าคุณจะใช้แบบไหน

  16. Google สามารถค้นหา Catalog สินค้าได้ (เข้าไปที่ http://catalogs.google.com)

  17. Google สามารถเก็บข้อมูลลักษณะการใช้ที่คุณต้องการได้โดยเข้ าไปที่ Preferences หรือ ตัวเลือก ใน Google ไทย

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น

Unlock Internet Speed

โดยปกติแล้ว Window จะ บล็อกความเร็วเน็ต ไว้ 20% เรามีวิธีปลดบล๊อกได้ด้งนี้

การใช้งานอินตอร์เน็ตบางครั้งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ก ับส่วนประกอบหลายด้าน เราก็ พยายามหาหนทางปรับแต่งให้ถูกใจและถูกเงิน วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่ทำให้การท่องอินตอร์เน็ตได้รวด เร็วยิ่งขึ้น


ลองทำดังนี้นะครับ

  1. คลิกที่ปุ่ม Start
  2. เลือกที่แถบรายการ Run
  3. ที่ช่อง Open พิมพ์คำว่า gpedit.msc แล้วคลิก OK
  4. จะแสดงหน้าต่างของการปรับแต่ง Group Policy
  5. ที่ Computer Configaration เลือกแถบ Administrative Templates
  6. หัวข้อ Network เลือกที่ QoS Packet Scheduler
  7. มองหน้าต่างด้านขวามือ ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ Limit reservable bandwidth
  8. จะปรากฎกรอบหน้าต่างใหม่ Limit reservable bandwidth Properties
  9. เลือกแถบ Setting คลิกที่ช่อง Enable
  10. ในช่อง bandwidth limit (%) : ปรับค่าเป็น 0
  11. คลิก OK เพื่อยืนยันการใช้งาน แค่นี้เองลองนำไช้ดูครับ
ป.ล. อยู่ที่ เน็ตเราด้วยนะว่าแรงเท่าไร และ RAM เท่าไรด้วยนะครับ

บทความนี้ผมได้มาจาก FW Mail ครับ หากใครเข้ามาดูแล้วพิสูจน์ได้ว่าเป็นบทความของตัวเอง กรุณาแจ้งให้ทราบด้วยครับ ทางผมจะได้ลง Credit ให้ครับ

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

หลายๆ คนแขวนชีวิตไว้บนอุปกรณ์ยูเอสบีที่ใช้สำรองข้อมูล อย่างนายเกาเหลาเองก็มีอุปกรณ์พวกนี้ถึงสองตัวด้วยกัน ตัวหนึ่งเป็นแฟลชไดรฟ์ อีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเล่นเอ็มพีสาม และคาดว่ามือถือตัวใหม่ที่กำลังจะถอยออกมาด้วยเหมือนกัน

ปัญหาที่หลายๆ คนอาจจะเคยพบก็คือ อยู่ดีๆ อุปกรณ์เหล่านี้ก็ไม่ยอมทำงานกับพีซีเพื่อนรักเสียนี่ ถามผู้รู้บางคนก็โบ้ยว่า ไม่อุปกรณ์ USB ของเราเสีย ก็ส่วนควบคุมการทำงานของ USB มีปัญหา หรือบางทีพีซีเองนั่นแหละ แหม...เล่นตอบเหมาหมดอย่างนี้มันก็คงมีถูกบ้างอ่ะนะ แต่ความจริงก็คือ ผิดทุกข้อครับ เพราะมันไม่ได้มีอะไรเสีย ไดรฟ์ยูเอสบีก็ไม่เสีย เพราะไปลองกับเครื่องอื่น มันก็เวิร์ก ปัญหาคือ ความสับสนของการทำงานของระบบปฏิบัติการต่างหาก เนื่องจากในอดีตปัญหานี้จะเกิดกับไดรฟ์ CD/DVD เหมือนกัน และปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดจากความสับสนของรีจิสทรีที่อาจจะหายไป หรือก็ไม่ถูกต้อง ซึ่งสาเหตุอาจมาจากแอพพลิเคชันบางตัวที่ติดตั้งเข้าไป พยายามติดตั้งเงื่อนไขในการแยกแยะไดรเวอร์สำหรับชนิดของอุปกรณ์ยูเอสบี ส่วนใหญ่จะเกิดจากแอพพลิเคชันบันทึกข้อมูลลงบนแผ่น CD/DVD ของผู้ผลิตทั่วไป

การแก้ปัญหาสามารถทำได้โดยลบรีจิสทรีคีย์ที่เสียหาย หรือมีรูปแบบไม่ถูกต้องออกไป เพื่อให้ XP ตรวจจับอุปกรณ์ยูเอสบีของเราได้ใหม่อีกครั้งตามปกติ ขั้นตอนการลบรีจิสทรีคีย์ตัวปัญหามีดังนี้
  1. เปิดไดอะล็อกบ็อกซ์ Run (กดปุ่ม Windows + R) พิมพ์คำสั่ง regedit คลิ้กปุ่ม OK
  2. ในโปรแกรม Registry Editor คลิ้กเข้าไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\Class\ {4D36E980-E325-11CE-BFC1-08002BE10318}.
  3. ลบคีย์ที่มีชื่อว่า UpperFilters หรือ LowerFilters
  4. จากนั้นให้คลิ้กเข้าไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\Class\ {4D36E967-E325-11CE-BFC1-08002BE10318}.
  5. ทำเหมือนข้อ 3 คือลบคีย์ UpperFilters หรือ LowerFilters
  6. รีบูตเครื่องคอมพิวเตอร์
ข้อควรทราบก็คือ เมื่อคุณลบรีจิสทรีคีย์ที่มีปัญหานี้ออกไป แอพพลิเคชันเขียนแผ่น CD/DVD ที่ใช้การเปลี่ยนค่าของคีย์ข้างต้น (UpperFIlters, LowerFilters) จะไม่สามารถทำงานได้ และคุณอาจจะต้องติดตั้งโปรแกรมพวกนี้เข้าไปใหม่

ที่มา http://www.arip.co.th/2006/news.php?ofsm=10&ofsy=2007&id=406832

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş 0 ความคิดเห็น

เป็นดังที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวางว่า อินเทอร์เน็ต คือ อภิมหาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นเครือข่ายสารพัดประโยชน์ จนใครที่ไม่เคยใช้งานอินเทอร์เน็ตอาจจะเป็นบุคคล ตกยุคสมัยไปได้ง่ายๆ

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้แต่ละปีการเติบโตของการใช้งาน เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้หมายเลขติดต่อบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ ไอพี แอดเดรส ที่เปรียบเสมือนหมายเลขโทรศัพท์ ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันกำลังจะหมดไปในอนาคต ดังนั้น หลายประเทศจึงเริ่มนำเอาเทคโนโลยีการติดต่อ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรุ่นที่ 6 หรือ IPv6 มาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีการติดต่อ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรุ่นที่ 4 หรือ IPv4

อย่างไรก็ตาม หลายคนที่ยังไม่รู้อาจจะสับสนว่า การเปลี่ยนไปใช้ IPv6 นั้น จำเป็นหรือไม่ แท้จริงแล้วผลกระทบเป็นเช่นไร และในประเทศไทยผู้เกี่ยวข้อง มีความพร้อมให้บริการมากน้อยแค่ไหนและอย่างไร ดังนั้น วันนี้ …เราจะพากันไปหาคำตอบเหล่านี้ กัน

รศ .ดร.สินชัย กมลภิวงศ์ สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเครือข่าย ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหา วิทยาลัยสงขลานครินทร์ ให้คำตอบเกี่ยวกับความสำคัญ และ ความจำเป็นในการใช้งาน IPv6 ว่า IPv4 เริ่มเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 รวมระยะเวลามากกว่า 26 ปี มีเลขหมายรองรับ 4.29 พันล้านเลขหมาย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเลขหมาย IPv4 ถูกใช้งานแล้ว 2.5 พันล้านเลขหมาย โดยคาดว่า จะหมดไปประมาณปี ค .ศ. 2010


"มีการแจกจ่าย IPv4 ไปแล้ว 2.5 พันล้านเลขหมาย 1.4 พันล้านเลขหมายอยู่ในอเมริกา 550 ล้านเลขหมายอยู่ในยุโรป 155 ล้านเลขหมายอยู่ในญี่ปุ่น 125 ล้านเลขหมายอยู่ในจีน 20 ล้านเลขหมายอยู่ในอเมริกาใต้และอีก 100 ล้านเลขหมายอยู่ในที่อื่นๆ ทั่วโลก ส่วนในประเทศไทยมีการใช้งาน 3.47 ล้านเลขหมายจาก จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 13 ล้านราย" อาจารย์สถาบันวิจัยเทคโนโลยี เครือข่าย ม.สงขลานครินทร์ อัพเดทสถานะจำนวนเลขหมาย IPv4 ในปัจจุบัน

รศ. ดร.สินชัย เชื่อว่า จากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่า IPv4 จะหมดในเร็วๆ นี้ โดยภายในปี ค.ศ.2050 มีข้อมูลว่า จะมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากถึง 9 พันล้านเลขหมาย ขณะที่ในปี ค.ศ.2006 ที่ผ่านมา มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลกแล้ว 2.03 พันล้านเครื่อง และมีแนวโน้มว่า จะมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ

"ปัจจุบันและอนาคตจะมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ด้วยแท็ปเลตพีซีและพีดีเอ เป็นต้น ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ เช่น 3 จี ไวไฟ และไวร์แม็ก เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะส่งผลให้ IPv4 ที่เหลือจำนวนจำกัดอาจ ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้น ช่วงนี้หลาย ๆ ประเทศจึงเตรียมพร้อม และให้ความรู้การใช้งาน IPv6 ที่มีเลขหมายไว้รองรับมากถึง 340 ล้านล้านล้านล้านเลขหมาย โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีกระทรวงไอซีทีได้นำเทคโนโลยีดังกล่าว มาเผยแพร่ให้กับประชาชน"

สำหรับผลดีของการนำ IPv6 มาใช้ อาจารย์สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเครือข่าย ม.สงขลานครินทร์ ชี้ให้เห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เปลี่ยน เพราะว่า ในที่สุดเราจะไม่มีเลขหมาย IPv4 ให้ใช้งาน รวมทั้งยากลำบากในการเชื่อมต่อ กับประเทศอื่นและอุตสาหกรรมไอซีที คงยากลำบาก นอกจากนั้น ยังจะทำให้อุปกรณ์คอนซูมเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือ ซีอี สามารถเพื่อให้สามารถเชื่อต่อ และ ใช้งานร่วมกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยเลขหมาย IPv6

และมาถึงทุกวันนี้ รศ .ดร.สินชัย อัพเดทแผนงานและสถานการณ์การใช้งาน IPv6 ในประเทศอื่นๆ ว่า ปัจจุบันอเมริกาได้ประกาศใช้ IPv6 ตั้งแต่ปี ค.ศ 2005 แม้จะได้รับการจัดสรรเลขหมาย IPv4 มากที่สุด ส่วนประเทศในแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่ในอันดับต้นๆ นั้น ได้เตรียมให้หน่วยงานราชการใช้งาน IPv6 อย่างเป็นทางการภายในปี ค.ศ.2008 ส่วนเกาหลีจะใช้การเชื่อมต่อซีอี IPv6 ในปี ค.ศ.2010 โดยปี ค.ศ.2008 จะเปิดให้บริการ IPv6 ในเชิงพาณิชย์

ในส่วนของเมืองไทย ดร.อาจิน จิรชีพพัฒนา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริม และ พัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยว่า กระทรวงไอซีทีได้เตรียมความพร้อม เกี่ยวกับการใช้งาน IPv6 เอาไว้แล้ว โดยได้กำหนดแผนไว้ 3 ระยะ ได้แก่ แผนระยะสั้นระหว่าง แผนระยะกลางและแผนระยะยาว เพื่อให้การดำเนินงาน ของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกิดความชัดเจน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการไอซีที กระทรวงไอซีที เปิดเผยแผนการใช้งาน IPv6 ในประเทศไทยว่า ระยะสั้นระหว่างปี พ.ศ. 2550-2551 จะจัดตั้งศูนย์เชี่ยวชาญ IPv6 ที่มีหน้าที่ออกใบรับรอง IPv6 รวมทั้งจัดฝึกอบรมและออกใบ รับรอง ระยะกลางปี พ.ศ.2550-2552 จัดตั้งเครือข่ายภาครัฐ ให้เป็นโครงข่ายหลักที่สามารถรองรับการใช้งาน และในระยะยาว ปี พ.ศ.2550-2553 กำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือ ไอเอสพีสามารถให้ IPv6 แก่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

ทางด้าน ดร.เฉลิมพล ชาญศรีภิญโญ นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค และสมาชิกสมาคม IPv6 ประเทศไทย ให้ข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบันการใช้งาน และให้บริการ IPv6 ในประเทศไทยว่า ส่วนใหญ่ยังใช้ในเครือข่ายด้านการศึกษาวิจัย และใช้เฉพาะกลุ่ม สำหรับในส่วนของไอเอสพีนั้น หลายรายได้มีการทดสอบการใช้และให้บริการ แต่ยังไม่มีการเปิดให้บริการจริง

"นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งสมาคม IPv6 ขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน ให้มีการใช้งานและให้บริการ รวมทั้งมีการจัดทำนโยบาย โดยกระทรวงไอซีที ตลอดจนมีการจัดทำแนวทาง และมาตรการกำกับการใช้งานโดย กทช. ส่วนสาเหตุของการใช้งานและให้บริการที่ยังไม่แพร่หลายนั้น เป็นเพราะยังไม่มีคอลเลอร์แอพลิเคชัน ขาดแรงจูงใจในการใช้และให้บริการ รวม ทั้งขาดการผลักดันและสนับสนุนอย่างจริงจัง " นักวิจัยจากเนคเทค ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

จากความเห็นของนักวิชาการข้างต้น คงพอจะทำให้สรุปได้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศในโลกคงจะต้องเปลี่ยนไปใช้ IPv6 เพื่อทดแทน IPv4 ที่กำลังจะหมดไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง อาจจะมีปัญหาติดขัดในตอนเริ่มต้นบ้างเป็นธรรม ดังนั้น การเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และก้าวทันกับยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่กำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในโลกปัจจุบัน …


ณัฐพล ทองใบใหญ่
itdigest@thairath.co.th


บทความจาก :
ไทยรัฐ
วันที่ : 5 พฤศจิกายน 2550



Powered by ScribeFire.

เขียนโดย Şiłąncē Mőbiuş วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 0 ความคิดเห็น

โลกนี้ไม่ได้มีแต่ Microsoft และ Windows นะจะบอกให้

Subscribe here

เวลา ไม่เคยคอยใคร